ทำไมต้องทำ SEO และข้อดีของการทำ SEO มีอะไรบ้าง

Jimbe Allen
26/10/2023
ทำไมต้องทำ SEO และข้อดีของการทำ SEO มีอะไรบ้าง

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization เป็นกระบวนการปรับปรุงการมองเห็นและอันดับของเว็บไซต์หรือหน้าเว็บในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) ทำได้โดยการเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาและโครงสร้างของเว็บไซต์เพื่อให้เกี่ยวข้องกับอัลกอริธึมของเครื่องมือค้นหามากขึ้น

เหตุผลที่คุณต้องเลือกทำ SEO คือ

1.เพื่อเพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ การเข้าชมที่เกิดขึ้นเองคือการเข้าชมที่มายังเว็บไซต์ของคุณจากเครื่องมือค้นหา ซึ่งตรงข้ามกับการเข้าชมที่เสียค่าใช้จ่าย เช่น การเข้าชมจากการโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก (PPC) การเข้าชมที่เกิดขึ้นเองนั้นมีคุณค่าเนื่องจากเป็นบริการฟรีและสร้างขึ้นโดยผู้ที่สนใจในสิ่งที่คุณนำเสนออยู่แล้ว

2.เพื่อปรับปรุงการรับรู้ถึงแบรนด์และความน่าเชื่อถือ เมื่อเว็บไซต์ของคุณอยู่ในอันดับสูงใน SERP จะเป็นการส่งสัญญาณไปยังผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าว่าคุณเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้และเชื่อถือได้ สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การรับรู้ถึงแบรนด์และความน่าเชื่อถือที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ยอดขายและโอกาสในการขายที่มากขึ้น

3.เพื่อให้ได้เปรียบในการแข่งขัน ในโลกดิจิทัลปัจจุบัน ธุรกิจส่วนใหญ่แข่งขันกันทางออนไลน์ SEO สามารถช่วยให้คุณก้าวนำหน้าคู่แข่งโดยการจัดอันดับ SERP ที่สูงขึ้น และดึงดูดผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น

ข้อดีของการทำ SEO

การทำ SEO มีข้อดีหลายประการ ได้แก่

1.ลดค่าใช้จ่าย SEO เป็นวิธีที่ค่อนข้างคุ้มต้นทุนในการทำการตลาดเว็บไซต์ของคุณ เมื่อคุณเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณสำหรับเครื่องมือค้นหาแล้ว คุณจะยังคงได้รับประโยชน์จากการเข้าชมทั่วไปต่อไปอีกหลายปีต่อจากนี้

2.ผลลัพธ์ระยะยาว SEO เป็นการลงทุนระยะยาว แต่สามารถสร้างผลลัพธ์ระยะยาวได้ เมื่อเว็บไซต์ของคุณมีอันดับสูงใน SERPs อาจเป็นเรื่องยากสำหรับคู่แข่งที่จะทำให้คุณหลุดจากตำแหน่งสูงสุด

3.การเข้าชมที่เป็นเป้าหมาย SEO สามารถช่วยคุณดึงดูดปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณได้ ซึ่งหมายความว่าคุณมีแนวโน้มที่จะดึงดูดผู้เข้าชมที่สนใจสิ่งที่คุณนำเสนอได้มากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การขายและโอกาสในการขายที่มากขึ้น

4.ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ SEO ยังสามารถช่วยปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้เว็บไซต์ของคุณได้อีกด้วย เนื่องจาก SEO สนับสนุนให้คุณสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ

โดยรวมแล้ว SEO เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ ด้วยการลงทุนใน SEO คุณสามารถปรับปรุงการมองเห็น อันดับ และการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งอาจนำไปสู่ยอดขายและโอกาสในการขายที่มากขึ้น

กลยุทธ์การทำ SEO รักษาลูกค้าเก่าที่ธุรกิจควรรู้

Jimbe Allen
13/04/2022
กลยุทธ์การทำ SEO รักษาลูกค้าเก่าที่ธุรกิจควรรู้

ธุรกิจสมัยนี้ควรเรียนรู้เรื่องการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เพื่อรักษาฐานลูกค้าเก่าเอาไว้ เป็นการรักษาส่วนแบ่งตลาดได้อย่างเหนียวแน่น ไม่มุ่งเน้นเฉพาะมองหาลูกค้าใหม่อย่างเดียว เพราะไม่มีอะไรรับประกันว่าคนที่มองเห็นและเข้ามาทำความรู้จักสินค้าหรือแบรนด์จะตัดสินใจซื้อตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้ามาในเว็บไซต์

ทราบกันดีว่าการทำ SEO เป็นเทคนิคการโปรโมทเว็บไซต์ให้ติดอันดับการค้นหาลำดับแรก ๆ ใน Google ส่งผลให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้นและยังมีโอกาสเสนอขายสินค้าหรือบริการได้ก่อนคู่แข่งในตลาดเดียว การทำตลาดออนไลน์ถือเป็นช่องทางการโฆษณาที่มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าโฆษณาแบบดั้งเดิม ซึ่งการโฆษณาดึงดูดลูกค้าใหม่นั้นมีค่าใช้จ่ายมากกว่าการรักษาลูกค้าเดิมมากกว่า 5 เท่า ธุรกิจใหม่ที่ยังมีงบประมาณไม่มากนักควรเน้นการเพิ่มโอกาสขายจากลูกค้าเก่าเป็นแรงขับเคลื่อนธุรกิจให้เดินหน้าไปเรื่อย ๆ 

เหตุผลที่ธุรกิจจำเป็นต้องทำ SEO ในเว็บไซต์เพื่อให้โปรโมทแบรนด์หรือสินค้าทางออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง มีผลให้แบรนด์และสินค้าเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ในปัจจุบันธุรกิจส่วนใหญ่ทำ SEO โดยพุ่งเป้าไปที่การหาลูกค้าใหม่จำนวนมากด้วยความเข้าใจว่าหากเว็บไซต์ไต่อันดับดีขึ้นและแสดงผลให้ผู้ค้นหาเห็นอย่างรวดเร็วจะเป็นการเสนอตัวให้ลูกค้าได้เห็นก่อนคู่แข่ง รวมถึงทำให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือและได้รับการยอมมากขึ้น ซึ่งเป็นแรงสนับสนุนการตัดสินใจซื้อของลูกค้าในอนาคต

แต่เว็บไซต์ที่หาเจอง่ายไม่ใช่ปัจจัยอย่างเดียวที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์การซื้อกับเว็บไซต์นั้น ๆ มาก่อนอาจจะเห็นว่าลำดับของเว็บไซต์อาจไม่หนักแน่นพอ กลยุทธ์การทำ SEO ควรเน้นการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเก่าไว้ก่อน ถ้าลูกค้ามีความจงรักภักดีต่อแบรนด์แล้วไม่เพียงจะสานต่อความสัมพันธ์อุดหนุนกันไปนาน ๆ เท่านั้น แต่ยังบอกต่อและแชร์ข้อมูลดีๆ เพื่อให้ลูกค้าใหม่เข้ามาซื้อสินค้าหรืออุดหนุนบริการมากขึ้นด้วย

แน่นอนว่าการมองหาลูกค้าใหม่จะเพิ่มฐานลูกค้าให้ธุรกิจเติบโตมากยิ่งขึ้น แต่การทำ SEO มักจะเห็นผลช้า กว่าจะเพิ่มยอดขายได้อาจใช้เวลานานหลายเดือน ธุรกิจจึงไม่ควรละเลยเรื่องการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเก่าซึ่งเป็นกลุ่มที่มีโอกาสกลับมาซื้อซ้ำได้อีก ถือเป็นการเดินเกมธุรกิจที่ปลอดภัยและเหมาะกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันซึ่งคนส่วนใหญ่พยายามรัดเข็มขัดไม่จับจ่ายใช้สอยฟุ่มเฟือย ลูกค้าเก่าที่ใช้สินค้าหรือบริการมาแต่แรกเห็นถึงคุณภาพและประสิทธิภาพมีความจงรักภักดีต่อแบรนด์จะยังคอยอุดหนุนกันอยู่เสมอ

การทำการตลาดออนไลน์ด้วย SEO โดยปกติแล้วจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ค่อนข้างช้าแต่คุ้มค่าในระยะยาว ธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์จากการทำ SEO ได้หลายทาง ไม่เฉพาะทำให้ลูกค้าใหม่รู้จักเท่านั้น แต่ทำให้ลูกค้าดั้งเดิมพอใจ มีความรู้สึกภักดีต่อองค์กรในระยะยาวและรอสินค้าใหม่ที่จะเปิดตัวออกมาในอนาคต ไม่เพียงควักกระเป๋าซื้อมากขึ้นแต่ยังจะอุดหนุนอย่างต่อเนื่องไปอีกนานด้วย ธุรกิจจะไม่สูญเสียลูกค้าเก่าให้คู่แข่งไปอย่างง่ายดายนั่นเอง

การทำ SEO อย่างถูกต้องให้ประโยชน์อย่างไร

Jimbe Allen
25/02/2022
การทำ SEO อย่างถูกต้องให้ประโยชน์อย่างไร

หลายคนเคยได้ยินเรื่องราวของการทำ SEO หรือ “Search Engine Optimization” เพื่อให้เว็บไซต์ถูกพบเห็นง่ายขึ้นบนอินเทอร์เน็ต วิธีการทำ SEO ควรสร้างเว็บไซต์อย่างถูกต้องตามกฎกติกาของเครื่องมือค้นหาเท่านั้นจึงจะติดอันดับที่ดีได้ ไม่เช่นนั้นแล้วการทำผิดกฎอาจส่งผลเสียต่อเว็บไซต์และถูกแบนได้ในอนาคต เมื่อการทำ SEO เป็นไปอย่างถูกต้องจะให้ประโยชน์ดังนี้

-การทำ SEO ที่เป็นมาตรฐานช่วยให้ผู้ค้นหาเข้าถึงเว็บไซต์ได้ง่าย ในยุคปัจจุบันธุรกิจมีการแข่งขันสูง แต่ผู้ประกอบการรายย่อยไม่มีงบประมาณการโฆษณาแบบดั้งเดิม จึงเบนเข็มมาทำเว็บไซต์และโฆษณาทางโซเชียลมีเดียซึ่งใช้ต้นทุนต่ำ แต่เข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้ดีกว่าเดิม ทำให้ชื่อเสียงของแบรนด์เป็นที่รู้จักแพร่หลาย หากการทำ SEO ช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ ของเครื่องมือค้นหา จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะโชว์ธุรกิจให้เห็นกันมากขึ้นเพราะเว็บไซต์เข้าถึงได้ตลอด 24 ชั่วโมงสามารถโปรโมทธุรกิจได้ทุกเวลา

-การทำ SEO อย่างถูกต้องทำให้เนื้อหาบทความน่าอ่านและมีประโยชน์ โดยเฉพาะการแทรกคำค้นหาหรือคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม เมื่อผู้คนมีความสนใจค้นหาสิ่งที่ต้องการไม่ว่าจะเป็นข้อมูลสินค้าหรือบริการก็ตาม จะค้นพบเว็บไซต์ของคุณได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ใครเสนอขายได้ก่อนย่อมมีความได้เปรียบคู่แข่งในประเภทธุรกิจเดียวกัน นอกจากนี้ต้องมั่นใจว่าผู้ค้นหาจะสามารถเข้าเว็บไซต์อ่านข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการได้ทุกเวลา

-ถึงจะมีผู้คลิกเข้าชมจำนวนมาก มีโอกาสสร้างลูกค้าใหม่แต่ไม่ได้หมายความจะเพิ่มโอกาสขายได้มากขึ้นเสมอไป ยังขึ้นอยู่กับสินค้า ราคา และข้อมูลในเว็บไซต์ด้วย หากคุณภาพสินค้าและราคาไม่แตกต่างกัน การทำ SEO เลือกใช้บทความที่มีเนื้อหาเป็นประโยชน์ ทันสมัย ไม่ซ้ำกับเว็บไซต์อื่น รวมทั้งเลือกคีย์เวิร์ดอย่างเหมาะสมทำให้ค้นพบข้อมูลตรงตามต้องการ ผู้ค้นหาเกิดความประทับใจและกลับมาใช้งานซ้ำอีกซึ่งส่งผลดีต่อการประเมินเว็บไซต์ทำให้ติดอันดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง

-เมื่อการทำ SEO ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งาน เป็นไปได้ที่ผู้ใช้จะกลายมาเป็นลูกค้าใหม่ในอนาคต การกลับมาใช้งานซ้ำอีกหมายถึงเป็นโอกาสที่จะปิดยอดขายได้อีก ทำให้เกิดการซื้อซ้ำสร้างประโยชน์ให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือ แสดงถึงความพอใจในข้อมูลและบริการของเว็บไซต์ รวมถึงความพอใจในตัวสินค้าและราคา สามารถส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของลูกค้ารายใหม่ ๆ ที่เข้ามาเยี่ยมชมมากขึ้น

ประโยชน์ที่ได้จากการทำ SEO มีมากมาย สิ่งที่เด่นชัดคือเป็นเครื่องมือโฆษณาที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก เหมาะสำหรับธุรกิจที่เพิ่งจะเริ่มต้นมีโอกาสเปิดตัวแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างท่ามกลางการแข่งขันในโลกธุรกิจออนไลน์ การเสนอสินค้าและบริการให้ลูกค้าเป้าหมายได้เห็นก่อนคู่แข่งไม่เพียงทำให้ลูกค้าและมีโอกาสปิดยอดขายได้เท่านั้น แต่ความประทับใจในเว็บไซต์จะช่วยเรื่องการจดจำแบรนด์ สร้างความน่าเชื่อถือ ทำให้เป็นที่ยอมรับและรู้จักอย่างกว้างขวาง

เมื่อไหร่ควรทำ SEO และ SEM

Jimbe Allen
19/11/2021
เมื่อไหร่ควรทำ SEO และ SEM

SEO และ SEM เป็นเทคนิคการตลาดออนไลน์ที่นิยมมากในปัจจุบัน โดย SEO คือการทำคุณภาพเว็บไซต์ให้เข้าหลักเกณฑ์ที่ Google กำหนด เพื่อใช้ในการจัดอันดับนำเสนอบนหน้าจอการสืบค้น เว็บไซต์ที่มีค่า SEO สูงก็จะได้รับอันดับที่สูงตามไปด้วย ส่วน SEM คือการซื้อพื้นที่โฆษณาในบริเวณส่วนต้นของหน้าแรก Google

เรามาดูกันว่า เมื่อไหร่ที่เจ้าของเว็บไซต์ควรทำ SEO และ SEM

1.ระยะเวลาเห็นผล
SEO จำเป็นต้องใช้การสะสมของข้อมูลที่ยาวนานกว่า SEM ทั้งด้านการผลิตงานเขียนและภาพประกอบที่มีคุณภาพ การปรับแต่งโครงสร้างเว็บไซต์ การเขียนโค้ดและจัดวางคอลัมน์ต่าง ๆ ให้ใช้งานง่าย อันเป็นที่ประทับใจต่อลูกค้า เหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาค่อนข้างนานหลายเดือนกว่าจะเห็นผล ส่วน SEM จะช่วยเพิ่มยอดขายอย่างรวดเร็วทันที แต่ SEM ก็มีค่าใช้จ่ายจากการประมูลและการคลิกแต่ละครั้งหรือ PPC ผู้ที่จะทำ SEM จึงต้องพิจารณาถึงความคุ้มทุนในจุดนี้ด้วย

2.คู่แข่งทางการค้า
ในธุรกิจที่เป็นแนว Red Ocean หรือมีการแข่งขันกันสูง ทุกองค์กรต่างทำ SEO เพื่อให้คุณภาพของเว็บไซต์แข่งกันได้ในระยะยาว จะได้เป็นเจ้าครองตลาดอย่างไม่มีใครมาเทียบได้ ถ้าคุณเป็นเจ้าใหม่ในธุรกิจใด ๆ หากทำ SEO อย่างเดียว อาจท้อได้ง่าย เพราะในระยะแรกอาจแทบไม่มีคนคลิกเข้ามาในเว็บไซต์เลย ในที่สุดคุณอาจท้อแท้และเลิกธุรกิจไป ดังนั้น คุณจึงควรทำ SEM ยิงโฆษณาควบคู่ด้วย โดยเฉพาะการเปิดตัวสินค้าใหม่ หรือมีโปรโมชั่นใหม่ ๆ ที่น่าดึงดูดใจ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเปิดใจอยากลองใช้สินค้าใหม่ในแบรนด์คุณมากขึ้น

3.ประเภทของสินค้า
ถ้าเป็นสินค้าแนวแฟชั่นหวือหวาตามความนิยมของผู้คน แนะนำให้ทำ SEM เพื่อกระตุ้นการซื้อเช่น ต้นไม้ใบด่างที่ผู้คนนิยมซื้อตามคนดัง เครื่องสำอางที่เซเลบบริตี้เป็นพรีเซนเตอร์ ฯลฯ ควรทำ SEM เกาะกระแสให้ผู้คนซื้อสินค้านั้นผ่านเว็บไซต์คุณในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่คนจะเลิกฮิต ส่วนสินค้าประเภทของใช้อุปโภคบริโภคทุกวัน ได้แก่ ยาสีฟัน ครีมอาบน้ำ แชมพู ฯลฯ เราแนะนำว่าทำ SEO อย่างต่อเนื่องจะดีกว่า เพราะเป็นสิ่งของจำเป็นพื้นฐานของทุกครัวเรือน ที่เราไม่จำเป็นต้องเร่งรีบจำหน่าย แต่ผู้ซื้อมักสนใจที่ความจริงใจในเนื้อหาการนำเสนอที่ไม่เน้นการขายมากเกินไป หรือ hard sale

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO และ SEM อยู่บนหลักพื้นฐานแตกต่างกัน ระยะเวลาหวังผลคนละแบบ และเหมาะกับสินค้าแต่ละประเภทต่างกันไป แต่อย่างไรก็สามารถทำเสริมควบคู่กันได้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการทำธุรกิจออนไลน์ คือ เพิ่มยอดขายสินค้า ขยายฐานลูกค้า สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและบอกต่อ เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้นักธุรกิจออนไลน์ทุกคนประยุกต์ใช้สองแนวทางนี้ได้อย่างดียิ่งขึ้นต่อไป

SEO คืออะไร ต่างจากเครื่องมือทางการตลาดออนไลน์อื่นอย่างไร?

Jimbe Allen
22/10/2021
SEO คืออะไร ต่างจากเครื่องมือทางการตลาดออนไลน์อื่นอย่างไร?

ปัจจุบันเทคโนโลยีมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนเป็นอย่างมาก อย่างน้อยการ work from home ก็ต้องใช้เทคโนโลยีเพื่อให้ธุรกิจเดินต่อได้ เช่น Zoom หรือ MS Team แต่การดำเนินงานภายในก็เรื่องหนึ่ง ส่วนการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยลูกค้าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งองค์กรต้องให้ความสำคัญกับเครื่องมือทางการตลาดออนไลน์ที่ช่วยให้ลูกค้ารู้จักธุรกิจด้วย โดยเครื่องมือที่นิยมใช้คือ SEO และเสริมด้วยเครื่องมือการตลาดออนไลน์อื่นร่วมด้วยซึ่งวันนี้เราจะมาเรียนรู้กัน

การเติบโตของธุรกิจในยุค 4G จะเกิดขึ้นได้จำเป็นต้องอาศัยกลยุทธ์การทำการตลาดออนไลน์เป็นหลักเนื่องจากผู้คนมีการใช้งานสื่อโซเชียลตลอด 24 ชั่วโมง อีกทั้งผู้บริโภคยุคใหม่มีการค้นหาข้อมูลสินค้าหรือบริการรวมถึงเปรียบเทียบคุณสมบัติของสิ่งที่ต้องการบนออนไลน์ที่มีให้ค้นหาได้อย่างไม่สิ้นสุด ดังนั้นหากธุรกิจต้องการอยู่รอดจึงจำเป็นต้องทำให้ผู้บริโภครู้จักแบรนด์ของธุรกิจ มีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้ลูกค้าบอกต่อโดยเครื่องมือที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ SEO และยังรวมถึง SEM, SMM ที่ใช้คู่กันด้วย เครื่องมือทางการตลาดออนไลน์ทั้ง 3 ประเภทสนับสนุนกันอย่างไร?

SEO (Search Engine Optimization) คือการสร้างคีย์เวิร์ด (Keyword) ในเว็บไซต์ของธุรกิจเพื่อให้แบรนด์ของธุรกิจได้ถูกค้นพบในอันดับต้น ๆ ของแถบเครื่องมือการค้นหาอย่าง Google, Yahoo หรือ Bing โดยเทคนิคที่จะทำให้เว็บไซต์ของธุรกิจถูกค้นหาได้ง่ายจาก SEO คือการใช้คีย์เวิร์ด (Keyword) สั้น จำง่าย และสอดคล้องกับสินค้าหรือบริการ รวมถึงการใช้เทคนิค SEO off page ด้วยการฝากลิงก์กับเว็บไซต์อื่น ๆ ให้เชื่อมไปสู่หน้าเว็บไซต์ของธุรกิจร่วมด้วย จะได้เป็นการเพิ่มช่องทางให้ผู้บริโภครู้จักธุรกิจได้มากขึ้น สาเหตุที่ธุรกิจส่วนใหญ่นิยมทำ SEO มากที่สุดเพราะไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อาจจะเห็นผลความสำเร็จช้าหากคีย์เวิร์ดที่ใช้ไม่ใช่คำนิยมค้นหาหรือหน้าเว็บไซต์ธุรกิจไม่เป็นที่ถูกใจของผู้บริโภค

SEM (Search Engine Marketing) คือการซื้อโฆษณากับ Google หรือคือการทำ Google AdWords เพื่อให้เว็บไซต์ของธุรกิจได้ขึ้นมาอยู่บนหน้าแรก ๆ ของการค้นหาจาก Google สาเหตุที่ควรทำ SEM ร่วมกับ SEO เนื่องจากธรรมชาติของการค้นหาของผู้บริโภคหากข้อมูลที่ต้องการค้นหาตกไปอยู่ในหน้าหลัง ๆ ของ Google ก็จะไม่ได้รับความสนใจ ดังนั้น SEM จึงช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้บริโภคได้รู้จักแบรนด์ของธุรกิจได้มากขึ้น โดยค่าใช้จ่ายจะเกิดขึ้นจากจำนวนคลิกที่มีคนคลิกลิงก์เข้าไปยังหน้าเว็บไซต์ของธุรกิจ

SMM (Social Media Marketing) คือการทำการตลาดบนสื่อสังคมออนไลน์เช่น Facebook หรือ Instagram ซึ่งเป็นเทคนิคต่อเนื่องจากการทำ SEO และ SEM คือเมื่อผู้บริโภคเข้ามาถึงหน้าเว็บไซต์หรือเพจของบริษัทแล้วก็ต้องมีกลยุทธ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ลด แลก แจก แถม เพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคเกิดการซื้อ-ขายสินค้าหรือบริการของธุรกิจต่อไป หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ SMM เป็นตัวช่วยในการเพิ่มยอดขายของธุรกิจนั่นเอง

พูดได้ว่าด้วยการแข่งขันที่รุนแรงบนโลกออนไลน์ที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของทุกคน ธุรกิจจึงต้องใช้โอกาสนี้ในการดึงดูดให้ผู้บริโภคได้ทำกิจกรรมกับธุรกิจด้วยเครื่องมือทางการตลาดออนไลน์ทั้ง 3 ประเภทร่วมกันเพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตบนโลกออนไลน์ได้อย่างยั่งยืน

รวมเทคนิคทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกของ Search Engine

Jimbe Allen
07/03/2021
รวมเทคนิคทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกของ Search Engine

เทรนด์ทำการตลาดออนไลน์สมัยนี้ แน่นอนว่าต้องยกให้กับการทำ SEO หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า Search Engine Optimization ซึ่งเป็นการทำการตลาดออนไลน์เพื่อให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกใน Search Engine โดยการทำ SEO นั้น ไม่ใช่แค่คอนเทนต์ดีหรือภาพสวยเท่านั้น แต่ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่างเพื่อการปั้นเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก และเพื่อเป็นการเอาใจคนทำการตลาดออนไลน์ ลองมาดูกันว่าจะมีเทคนิคใดบ้างที่ทำให้เว็บไซต์คุณติดอันดับต้น ๆ ใน Search Engine

คอนเทนต์ต้องปัง
ไม่ว่าใครก็อยากเข้าชมเว็บไซต์ที่ผลิตคอนเทนต์มีคุณภาพด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับคือการผลิตคอนเทนต์ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายหรือเป็นคอนเทนต์ที่กลุ่มเป้าหมายให้ความสนใจ ที่สำคัญอย่าลืมแทรกคีย์เวิร์ดที่ถูกค้นหาบ่อย ๆ โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ดจาก Google เพื่อเพิ่มโอกาสการค้นเจอให้มากยิ่งขึ้น และควรเลือกใช้หลายคีย์เวิร์ดทั้งคีย์เวิร์ดสั้นและคีย์เวิร์ดยาว

ให้ความสำคัญกับความยาวคอนเทนต์
สำหรับใครที่กำลังปั้นเว็บไซต์ให้ติดอันดับอยู่นั้น นอกจากคอนเทนต์ต้องสดใหม่และได้คุณภาพแล้ว อย่าลืมให้ความสำคัญกับความยาวคอนเทนต์ เนื่องจากระบบ Search Engine จะทำความเข้าใจกับคอนเทนต์ยาวได้ดีกว่าคอนเทนต์สั้น ๆ ความยาวคอนเทนต์ที่กำลังดีจึงช่วยเพิ่มคะแนนเว็บไซต์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

Backlink ก็สำคัญ
เมื่อผลิตคอนเทนต์ให้โดนใจและได้คุณภาพแล้ว แน่นอนว่ามีโอกาสที่เว็บไซต์อื่น ๆ จะอ้างอิงแหล่งที่มาจากเว็บไซต์เรา ทำให้มีการทำ Backlink กลับมายังเว็บไซต์ ซึ่งการถูกคลิกเข้ามาบ่อย ๆ ย่อมทำให้มีผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เรามากขึ้น อีกทั้งยังได้คะแนนจาก Search Engine เนื่องจากถือว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและมีคุณภาพ

ตั้งชื่อภาพแบบมีความหมาย
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการทำให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกของ Search Engine มีเรื่องการตั้งชื่อภาพมาเป็นส่วนเกี่ยวข้อง โดยการตั้งชื่อภาพควรตั้งให้มีความหมายเพื่อให้ระบบของ Search Engine อ่านออก เช่น หากตั้งชื่อภาพภูเขา ควรตั้งว่า Mountain แทนที่จะตั้งชื่อ 12345 นั่นเอง

อัปเดตเว็บไซต์สม่ำเสมอ
เชื่อว่าคนที่กำลังค้นหาข้อมูลคงไม่อยากเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่ไม่มีการอัปเดตคอนเทนต์ใหม่ ๆ เพราะฉะนั้นท่านเจ้าของธุรกิจควรอัปเดตคอนเทนต์ รูปภาพ หรือสินค้าให้สดใหม่เสมอ เพื่อเพิ่มจำนวนผู้เข้าชม ซึ่งแน่นอนว่าการทำให้เว็บไซต์มีการเคลื่อนไหวย่อมมีผลดีต่อการเพิ่มคะแนนจาก Search Engine แน่นอน

ใครที่กำลังปั้นเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกของ Search Engine อย่าลืมนำเทคนิคดี ๆ เหล่านี้ไปทำตาม โดยการทำ SEO นั้น จำเป็นต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ รับรองว่าเพียงไม่นาน เว็บไซต์ของคุณจะค่อย ๆ ติดอันดับดีขึ้นและกลายเป็นที่รู้จักของกลุ่มเป้าหมายอย่างแน่นอน

Trending SEO ระบบการค้นหาที่มากกว่าตัวอักษร

Jimbe Allen
23/10/2020
Trending SEO ระบบการค้นหาที่มากกว่าตัวอักษร

ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยการทำเว็บไซต์ให้ประสบความสำเร็จย่อมต้องพึ่งพาการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization การจัดการเว็บไซต์ให้รองรับการค้นหาที่มีประสิทธิภาพบนเว็บ Search Engine เช่น Google.com, Yahoo.com, Bing.com, Baidu.com หรือ Ask.com เป็นต้น โดยการทำ SEO บนเว็บไซต์ให้ประสบความสำเร็จประกอบไปด้วยการทำ SEO On-page หรือการตั้งค่าหน้าเว็บไซต์ และ SEO Off-Page หรือใช้ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกลับมายังเว็บไซต์ และ Trending SEO หรือเทรนด์การทำ SEO

Trending SEO หรือเทรนด์การทำ SEO ในปัจจุบันไม่ได้มีเพียงการเขียนบทความโดยใช้ Keyword หรือคำที่กลุ่มเป้าหมายใช้ค้นหาบ่อยเท่านั้น แต่ยังมีองค์ประกอบอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนี้

  1. การจัดวางองค์ประกอบของบทความ (Content) การเขียนบทความเปรียบเสมือนการเขียนเรียงความที่ช่วยอธิบายข้อมูลให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายขึ้น ทำให้ต้องมีการจัดวางองค์ประกอบให้สามารถอ่านได้ง่ายขึ้น โดยแบ่งการเขียนบทความออกเป็น 3 ส่วน คือ H1 (ส่วนหัวข้อหรือชื่อเรื่อง), H2 (หัวข้อรองที่มีความสำคัญรองลงมา) และ H3 (หัวข้อย่อยลำดับถัดมา) โดยทั้ง 3 ส่วนควรมี Keyword หรือคำที่กลุ่มเป้าหมายค้นหาบ่อยแทรกอยู่เสมอ (ตัวอย่าง Keyword เช่น กระดาษ, ปากกา, รองเท้า หรือ กระเป๋า เป็นต้น) เพื่อให้บทความติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine เมื่อมีกลุ่มเป้าหมายใช้ Keyword ดังกล่าวในการค้นหาข้อมูล
  2. Featured Snippets เป็นฟังก์ชันที่ช่วยให้บทความติดอันดับบน Zero Rank บนหน้าแรกของ Search Engine โดยการทำ Featured Snippets ประกอบไปด้วย การตั้งชื่อบทความเป็นคำถามที่กลุ่มเป้าหมายถามบ่อยและตอบคำถามที่กลุ่มเป้าหมายต้องการทราบให้ได้ภายในย่อหน้าแรก, การจัดลำดับการตอบคำถามออกเป็นข้อ ๆ หรือใช้สัญลักษณ์แบ่งเป็นข้อย่อยที่ช่วยให้อ่านได้ง่ายขึ้น และการใช้ภาพ Infographic ที่ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจข้อมูลทั้งหมดง่ายขึ้น
  3. Voice Search การตั้งหัวข้อบทความหรือชื่อเรื่องโดยใช้ภาษาพูด เพราะในปัจจุบัน Search Engine เริ่มให้ความสำคัญกับฟังก์ชันการค้นหาด้วยเสียงมากขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกในการค้นหาข้อมูลของผู้ใช้ ทำให้การใช้ภาษาพูดในบทความจึงช่วยให้บทความติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine ได้ง่ายขึ้น
  4. ให้ความสำคัญกับนามสกุลไฟล์ภาพ ในปัจจุบัน Google พัฒนานามสกุลไฟล์ภาพที่ช่วยให้มีขนาดไฟล์ภาพที่เล็กลงแต่ยังคงคุณภาพของภาพให้มีความคมชัด ซึ่งทำให้การติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine ด้วยรูปภาพได้ง่ายกว่า ทั้งนี้ต้องให้ความสำคัญกับการตั้งชื่อรูปภาพและการใส่คำอธิบายรูปภาพด้วย Keyword หรือคำค้นหาที่กลุ่มเป้าหมายใช้ค้นหาบ่อย

การหมั่นอัปเดตเทรนด์การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization อยู่เสมอจะทำให้ AI ของ Search Engine เห็นว่าเป็นเว็บไซต์คุณภาพและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้มากที่สุด ซึ่งการอัปเดตเทรนด์ SEO สามารถหาความรู้ได้ด้วยตัวเองผ่านเว็บไซต์ของแต่ละ Search Engine ได้โดยตรง

ทำไมคุณถึงต้องรู้จัก algorithm บน Google สำหรับการทำเว็บไซต์ SEO

Jimbe Allen
07/06/2020
ทำไมคุณถึงต้องรู้จัก algorithm บน Google สำหรับการทำเว็บไซต์ SEO

การทำ SEO ตามระบบ search engine optimization ที่ Google กำหนด ให้แก่เว็บไซต์ออนไลน์ เป็นปัจจัยจำเป็นที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณประสบความสำเร็จในยุค 2020 ไม่ว่าจะทำธุรกิจวงการใด อาทิ การโรงแรม ท่องเที่ยว ขายสินค้าแฟชั่น วิตามินอาหารเสริม ฯลฯ ก็กล่าวได้ว่านักธุรกิจยุคใหม่จำนวนไม่น้อย ได้หันมาทำการค้าบนโลกอินเทอร์เน็ตมากขึ้น เพราะสามารถลดต้นทุนและเข้าถึงลูกค้าที่หลากหลาย

แต่หากไม่รู้จัก Google algorithm ของ SEO อย่างถ่องแท้ ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ได้ทั้งด้านชื่อเสียงของแบรนด์และยอดจำหน่าย

เรามาดูกันว่า Google algorithm มีความสำคัญอย่างไรบ้าง ต่อการทำเว็บไซต์ SEO

ส่งผลต่อการจัดอันดับการสืบค้นเว็บไซต์

ระบบของ Google จะใช้การสืบค้นผ่าน keyword ทางช่อง Google search โดยประมวลจากคำที่มีผู้พิมพ์ค้นหาบ่อยที่สุด ไล่อันดับรองลงมา ดังนั้นการเลือก keyword ที่เหมาะสมมาใช้ในการผลิตบทความ การตั้งชื่อรูปภาพหรือการใส่ใน alt text จึงสำคัญ เพื่อให้ระบบ algorithm ตรวจจับเจอข้อมูลจากเว็บไซต์คุณได้ง่ายขึ้น

ช่วยประหยัดค่าโฆษณา

เมื่อคุณทำระบบ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ไม่จำเป็นต้องเสียค่าการตลาดด้วยการเช่าพื้นที่โฆษณา หรือที่เรียกว่า SEM (Search Engine Marketing) ที่ต้องจ่ายแบบ pay per click (PPC) ที่ต้องจ่ายตามจำนวนครั้งการคลิกของผู้เข้าชมให้แก่ Google ดังนั้นหากทำ SEO ได้ดี อันดับเว็บไซต์ของคุณก็จะดีขึ้นได้แบบฟรี ๆ ด้วย

ทำให้แต่ละเว็บไซต์ที่ต้องการติดอันดับใน Google จะถูกออกแบบในแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้

การละเมิดกฎใด ๆ ของ Google จะทำให้ถูกแบนหรือลดอันดับการมองเห็นได้ ซึ่งระบบ Google algorithm มีอยู่หลายชนิดที่ทำหน้าที่ในการตรวจจับความผิด เช่น การคัดลอกบทความจากแหล่งอื่น การทำ Link ที่ผิดกฎ การใช้รูปภาพที่เจ้าของไม่อนุญาต การทำสแปมคีย์เวิร์ด ฯลฯ ผลคือ คุณจะได้รับโทษจาก Google ตามระดับความร้ายแรง ซึ่งแน่นอนว่าทำให้คุณนั้นเสียโอกาสในการขายสินค้าและบริการ ทำให้คู่แข่งแซงหน้าคุณไปอีกหลายก้าวเลยทีเดียว ดังนั้นแต่ละเว็บไซต์จึงต้องแข่งขันกันทำให้ถูกต้องและผู้ชมก็จะได้รับประโยชน์

ทำให้ได้เห็นทิศทางในการพัฒนาเว็บไซต์ที่ดี

ถ้าคุณใช้บริการหาข้อมูลด้วย Google เป็นประจำ ลองพิมพ์ด้วย keyword หนึ่ง ๆ คุณจะเห็นได้ว่ามีเว็บไซต์คุณภาพชั้นนำอยู่ 1-3 เว็บไซต์ เป็นเจ้าประจำที่คุณจะพบทุกครั้งเมื่อใช้ keyword ที่เกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ หากคุณคลิกเข้าไปดู ก็จะเห็นได้ว่าเขามีแนวทางในการพัฒนาเว็บไซต์อย่างไร จึงปรากฏในอันดับต้นอยู่เสมอ แสดงว่าผู้ที่ดูแลเว็บไซต์ดังกล่าวเข้าใจระบบ SEO ได้อย่างดี คุณควรจะเรียนรู้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างนั้น เพื่อที่จะได้นำมาปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีทิศทางยิ่งขึ้น

จะเห็นได้ว่า ระบบ algorithmของ Google นั้นมีความสำคัญ และส่งผลต่อการอยู่รอดของธุรกิจออนไลน์ของคุณอย่างมาก เราหวังว่าบทความนี้จะทำให้ทุกท่านที่สนใจทำเว็บไซต์ SEO ได้นำไปปรับใช้และพัฒนาเว็บไซต์ของตัวเองให้ประสบความสำเร็จได้ดียิ่งขึ้นต่อไป

สิ่งที่นักธุรกิจออนไลน์ควรรู้เกี่ยวกับการทำ SEO

Jimbe Allen
13/04/2019
สิ่งที่นักธุรกิจออนไลน์ควรรู้เกี่ยวกับการทำ SEO

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นวิธีการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ให้ขึ้นสู่อันดับต้นของหน้าต่างการค้นหาของ Search Engine ต่าง ๆ ซึ่งมีสิ่งที่นักธุรกิจออนไลน์ควรรู้เกี่ยวกับการทำ SEO ที่เราได้รวบรวมมาดังนี้

1. การทำ SEO ไม่มีสูตรที่เป็นหลักเกณฑ์ตายตัว ต้องหมั่นปรับปรุงให้เหมาะกับสินค้าหรือบริการ เช่น ร้านขายดอกไม้ออนไลน์ ควรเน้นที่การให้ความรู้และการบริการที่ประทับใจ ธุรกิจการโรงแรมควรเน้นที่ความสะดวกรวดเร็วในการติดต่อและส่วนลดหรือโปรโมชั่นที่ดึงดูดใจ เป็นต้น

2. การทำ SEO ต้องใช้เวลาที่ต่างกันไปตามชนิดของธุรกิจ จึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของอันดับการสืบค้น หากเป็นสินค้าแนวร้านค้าออนไลน์ทั่วไปใช้เวลา 3 เดือน แต่ธุรกิจโรงแรม ต้องใช้เวลานานเป็น 1 ปี เพราะว่าขึ้นอยู่กับฤดูกาลของการท่องเที่ยว เป็นต้น

3. ใน Search Engine มีระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะ หรือ AI Algorithm ที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพของบทความในเว็บไซต์ หากตรวจเจอว่ามีการคัดลอกเนื้อหามาจากเว็บไซต์อื่น จะทำให้ผลการจัดอันดับตกลง ดังนั้น การทำบทความต่าง ๆ จึงควรเขียนใหม่ โดยใช้ภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อลดโอกาสมีเนื้อหาซ้ำซ้อนกัน จนทำให้การทำ SEO ไม่ได้ผลเท่าที่ควร

4. เว็บไซต์ SEO ควรมีการเลือกฟอนต์ตัวอักษร สี และภาพประกอบ ที่เหมาะสม ที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าใจถึงสินค้าและบริการได้ดีขึ้น เช่น สีเขียว ที่มีความหมายถึงความเป็นธรรมชาติเหมาะกับสินค้าพวกวิตามิน อาหารเสริม สีน้ำเงิน ให้ความรู้สึกเป็นทางการเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการให้มีความน่าเชื่อถือ เป็นต้น

5. การทำเว็บไซต์ SEO ที่ให้ผลดีในระยะยาว ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพราะระบบคอมพิวเตอร์ของ Search Engine มีการรวมข้อมูลใน Database เพื่อจัดอันดับ Website ต่าง ๆ ตลอดเวลา การอัปเดตข้อมูลเป็นประจำนอกจากส่งผลต่ออันดับแล้ว ยังทำให้เพิ่มความมั่นใจของลูกค้าในการมาซื้อสินค้าและบริการจากเว็บไซต์ของคุณด้วย

6. ไม่ควรทำการยัดเยียด Keyword ลงไปใน Meta Tag หรือในเนื้อหาเพื่อหวังว่าอันดับ SEO จะดีขึ้น เพราะระบบของ Search Engine สามารถตรวจจับความผิดปกติของเนื้อหาในบทความได้ สิ่งที่ควรทำ คือ การกระจายคีย์เวิร์ดสำคัญ เพียง 1 – 2 คำ ต่อหนึ่งบทความ โดยให้มีความยาว 300 คำ จนถึง 1000 คำ จะทำให้มีอันดับการสืบค้นที่ดีกว่าบทความที่ยาวจากการใส่คีย์เวิร์ดซ้ำมากเกินไป

จะเห็นได้ว่า สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการทำ SEO ในปี 2019 ที่ยกตัวอย่างมาทั้งหกข้อ เป็นสิ่งสำคัญที่นักธุรกิจค้าขายออนไลน์ควรรู้ เพื่อให้ตัดสินใจเลือกจ้างทีมงานหรือบริษัททำ SEO อย่างถูกต้อง โดยพิจารณาจากประสบการณ์ ความคุ้มค่าและความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายในการทำ SEO ที่มีคุณภาพในระยะยาวด้วย

สิ่งที่นักธุรกิจออนไลน์ควรรู้กับการทำ SEO

เทคนิคการเขียนบทความ SEO ที่น่าสนใจและทำให้เว็บไซต์อันดับดีขึ้น

Jimbe Allen
12/03/2019
เทคนิคการเขียนบทความ SEO ที่น่าสนใจและทำให้เว็บไซต์อันดับดีขึ้น

การเขียนบทความที่มีคุณภาพตามแนว SEO หรือ search engine optimization เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เว็บไซต์ถูกจัดอันดับได้ดี และทำให้มีผู้อ่านถูกใจและแชร์บอกต่อ ทำให้ในระยะยาวสามารถเพิ่มยอดขายของสินค้าและบริการได้มากขึ้นด้วย

ซึ่งเทคนิคการเขียน Content หรือบทความ SEO ที่ดี มีดังนี้

1. keyword ต้องกระจายทั่วไป

ในบทความควรมี keyword อยู่ในส่วนบทนำ ส่วนกลางของเนื้อหาและสรุป อย่างน้อยที่ละ 1 แห่ง โดยเลือกคำที่พิจารณาแล้วว่าผู้ที่ต้องการสินค้าและบริการกลุ่มเป้าหมาย จะใช้คำเหล่านี้ในการค้นหาใน search engine

นอกจากนี้ ควรมี keyword ในจุดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบทความ เช่น ชื่อ title บทความ การตั้งชื่อ URL (URL address) และ Description (เป็นการบรรยายบทความแบบสั้น ๆ ที่จะทำให้ผู้อ่านได้ทราบว่าหากคลิกเข้ามาแล้วจะได้อ่านบทความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องใดบ้าง)

2. การตั้งชื่อภาพ และภาษาที่ใช้

การตั้งชื่อภาพหรือคลิปสื่อมัลติมีเดียต่าง ๆ ควรเช็คให้เรียบร้อยก่อนอัพโหลด ว่ามี keyword ที่เหมาะสม และควรจะใช้ keyword ที่เป็นภาษาอังกฤษเนื่องจากว่าจะทำให้ไม่มีปัญหาการสะกดผิดทั้งวรรณยุกต์ สระ พยัญชนะ ซึ่งจะมีผลเสีย คือ ทำให้ไม่สามารถเชื่อมโยงรูปภาพหรือเปิดลิ้งค์คลิปต่าง ๆ

นอกจากนี้ อาจใส่รายละเอียด การบรรยายลักษณะภาพลงไปด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับระบบอัลกอริทึ่มของ search engine ในอนาคตที่จะวิเคราะห์คุณภาพของภาพประกอบบทความด้วย

3. ไม่ยัดเยียดยัด keyword

keyword ต้องมีการกระจายตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ยัดเยียดผู้อ่านมากเกินไป เพราะจะทำให้ถูก search engine (Google หรือ Yahoo) วิเคราะห์ว่าเป็นสเป็นสแปมหรือเป็นบทความคุณภาพ ทั้งนี้มีผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า keyword density หรือค่าความหนาแน่นของ keyword ในแต่ละบทความ ไม่ควรจะเกิน 2.5 เปอร์เซ็นต์ จึงจะเหมาะสมที่สุด

4. ความยาวและคุณภาพที่ดี

การเขียนบทความที่มีคุณภาพนั้น ผู้เขียนควรให้มีความยาวที่เหมาะสม คือ 300-500 คำ เพราะผู้อ่านจะใช้เวลาอ่านไม่มากเกินไป เช่น การเขียนบทความในเฟสบุ้คก็ควรมีเนื้อหาสั้น ๆ กระชับ ได้ใจความ

ทั้งนี้ ในบทความควรมีเนื้อหาความรู้ที่สดใหม่ อ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่มีการอัพเดทเสมอ เพื่อทำให้บทความมีความน่าสนใจยิ่งขึ้น ผู้เขียนบทความจึงต้องใส่ใจในคุณภาพและพัฒนาตัวเอง หมั่นศึกษาเพิ่มเติมความรู้และหาภาพหรือสื่อประกอบที่สวยงาม เพื่อให้งานเขียนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

การเขียนบทความ SEO ที่น่าสนใจด้วยเทคนิคที่กล่าวมาทั้งสี่ข้อ จะช่วยให้เว็บไซต์สามารถถูกจัดอันดับด้วย search engine ไม่ว่าจะเป็น Yahoo หรือ Google ได้อันดับสูง ซึ่งจะทำให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในการขายสินค้าและบริการได้ดีขึ้น ทั้งด้านยอดการขายและจำนวนลูกค้าและผู้ติดตามที่เพิ่มขึ้นในระยะยาว

เทคนิคการเขียนบทความ SEO ที่น่าสนใจและทำให้เว็บไซต์