เทคนิคดัน SEO ด้วยรูปภาพ ที่ให้ผลลัพธ์เกินคาดเสมอ!

Jimbe Allen
27/05/2023
เทคนิคดัน SEO ด้วยรูปภาพ ที่ให้ผลลัพธ์เกินคาดเสมอ!

หลายคนคิดว่าการทำ SEO ให้ดีต้องมุ่งเน้นไปที่การใส่คีย์เวิร์ดให้เยอะ ๆ และเน้นไปที่การพัฒนาแต่คอนเทนต์ที่เป็นเนื้อหาบทความเพียงอย่างเดียว แต่ความจริงแล้วอีกอย่างที่สามารถส่งเสริมการทำ SEO ได้เป็นอย่างดีคือการปรับแต่งรูปภาพให้สอดคล้องกับการตรวจสอบของอัลกอริทึมสำหรับ SEO โดย Google สิ่งนี้จะทำให้เว็บไซต์ธุรกิจของคุณจะโดดเด่นกว่าคู่แข่งหลาย ๆ คนได้อย่างแน่นอน

  1. เลือกใช้ภาพต้นฉบับ

เว็บไซต์ส่วนใหญ่มักเลือกใช้ภาพฟรีจากอินเทอร์เน็ตมาใช้ประกอบเนื้อหา ทำให้ส่วนใหญ่ภาพที่ปรากฏบนหน้าเพจมักจะเป็นภาพเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ไม่โดดเด่น ดังนั้นแนะนำว่าผู้ที่ต้องการใช้ SEO เพิ่มการเข้าถึงลูกค้าควรจัดทำภาพต้นฉบับขึ้นมาประกอบเนื้อหาจะดีกว่า เพราะจะได้ภาพที่สื่อความหมายได้ดีที่สุด และมีความแตกต่างเฉพาะตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเว็บไซต์อื่น ๆ

  1. ใส่คำบรรยายต่าง ๆ ให้ถูกต้อง

Google ไม่สามารถมองเห็นภาพต่าง ๆ ได้เหมือนมนุษย์ ดังนั้นอัลกอริทึมจะทำงานได้ด้วยการตรวจจับแคปชั่นที่เราใส่เพื่อบรรยายรูปภาพต่าง ๆ แทน ดังนั้นใครที่เคยละเลยส่วนนี้ไปต้องรีบทำการแก้ไขโดยด่วน สิ่งที่ต้องทำการแก้ไขเมื่ออัพโหลดรูปคือ Title, Alt Text, Meta Description โดยต้องมีส่วนประกอบของคีย์เวิร์ดอยู่ในแคปชั่นต่าง ๆ เหล่านี้ด้วย จะส่งผลดีต่อการทำ SEO รูปภาพเป็นอย่างมาก

  1. ไฟล์ภาพขนาดพอดี ๆ

หลายคนอาจจะคิดว่าภาพยิ่งใหญ่ยิ่งดี เพราะคิดว่าผู้ใช้งานคงชอบภาพใหญ่ ๆ ที่มีความโดดเด่น แต่รู้ไหมว่าภาพที่มีขนาดใหญ่จนเกินไปจะทำให้ประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ลดลงแทน เพราะยิ่งภาพใหญ่ยิ่งใช้เวลาในการโหลดเพื่อแสดงผลนาน ดังนั้นในขั้นตอนก่อนอัพโหลดไฟล์ภาพ ขอให้พยายามบีบอัดไฟล์รูปภาพให้อยู่ที่ประมาณ 100-200 kb จะดีกว่า

  1. ส่ง Sitemap ให้ Google

Sitemap เปรียบเหมือนแผนผังที่รวบรวมว่าภายในเว็บไซต์มีรายการอะไรบ้างที่นำเสนอบนอินเทอร์เน็ต เป็นการนำเสนอภาพรวมโครงสร้างเว็บไซต์ ซึ่งรูปภาพต่าง ๆ จะถูกบรรจุอยู่บน Sitemap เหล่านี้เช่นกัน สิ่งนี้จะทำให้ Bot ที่มีหน้าที่สำรวจเว็บไซต์ต่าง ๆ ทำงานบนเว็บของเราได้สะดวกยิ่งขึ้น จึงทำให้การจัดอันดับ Google Image ดีขึ้นด้วย

  1. วางตำแหน่งรูปให้สอดคล้องกับเนื้อหา

ตำแหน่งของรูปมีส่วนสำคัญกับ SEO เช่นกัน โดยตำแหน่งที่ดีที่สุดควรอยู่รอบข้างกับเนื้อหาที่ต้องการสื่อสาร โดยคีย์เวิร์ดที่ใช้บรรยายภาพจะต้องสอดคล้องกับคีย์เวิร์ดที่ปรากฏในบทความ สิ่งนี้เป็นการสื่อสารที่ยอดเยี่ยม ทำให้ผู้ใช้งานเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น 

ดังนั้นใครที่กำลังดูแลเว็บไซต์ธุรกิจอยู่และไม่แน่ใจว่าจะพัฒนาเว็บไซต์ให้ SEO ดีขึ้นได้อย่างไร อย่าลืมนำปัจจัยของรูปภาพที่เราแนะนำไปพิจารณาด้วย เพียงแค่หมั่นพัฒนาเว็บไซต์ตามแนวทาง SEO อย่างต่อเนื่อง จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อการทำธุรกิจในระยะยาวอย่างแน่นอน

คู่มือ SEO สำหรับมือใหม่

Jimbe Allen
23/04/2023
คู่มือ SEO สำหรับมือใหม่

Google ให้นิยาม Search Engine Optimization หรือ SEO ว่าคือ การเพิ่มประสิทธิภาพให้เครื่องมือค้นหา โดยสร้าง ปรับปรุงเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้มีศักยภาพในการแสดงผลในเครื่องมือค้นหา อีกนัยหนึ่ง SEO สามารถช่วยให้เว็บไซต์ปรากฏบ่อยขึ้นในการค้นหา

เข้าใจไหม? ถ้ายังงง จะอธิบายให้ฟังง่าย ๆ ดังนี้

ในวันอาทิตย์ วันหยุดสุดสัปดาห์ เราอยากจะออกจากบ้านไปหาร้านกาแฟเก๋ ๆ แถวบ้าน นั่งชิล ๆ จิบอเมริกาโนร้อน ๆ พร้อมเค้กอร่อย ๆ แต่เราไม่รู้จะไปที่ไหน มีร้านอะไรอยู่แถวนี้บ้าง เราก็เข้าระบบอินเทอร์เน็ต เข้าเว็บไซต์ Google.com แล้วพิมพ์คำว่า “ร้านกาแฟใกล้ฉัน” ลงไปในช่องค้นหา จากนั้น Google ก็จะแสดงผลการค้นหาออกมาเป็นรายชื่อร้านกาแฟมากมาย พร้อมข้อมูลต่าง ๆ 

จากตัวอย่างด้านบน Search Engine หรือ เครื่องมือค้นหา ก็คือ Google.com หรือเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่ค้นหาเรื่องที่เราต้องการ ที่เรารู้จักกันดีนอกจาก Google.com แล้วก็ยังมี Bing.com Yahoo.com

ส่วนคำที่เราพิมพ์ค้นหาว่า “ร้านกาแฟใกล้ฉัน” เรียกว่า Keyword

ทีนี้ผลการค้นหา รายชื่อร้านกาแฟพร้อมข้อมูลต่าง ๆ ของแต่ละร้านที่แสดงผลออกมานั้น รายชื่อเหล่านี้มาจากไหน ทำไมถึงเรียงลำดับในแบบที่เราเห็น บางร้านที่เราเคยขับรถผ่านก็เห็น ๆ ว่าร้านอยู่ใกล้แถวบ้านเราเช่นกัน แต่กลับไม่มีชื่อปรากฎในรายชื่อของผลการค้นหา เพราะอะไร

คำตอบคือ ร้านกาแฟเหล่านั้นทำการ Optimization หรือแปลตรงตัวว่า “การเพิ่มประสิทธิภาพ” ให้กับเว็บไซต์ของตัวเอง

ดังนั้น Search Engine Optimization หรือ SEO คือการทำข้อมูลในเว็บไซต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ Search Engine หาเจอ แล้วนำออกมาแสดงผล เมื่อมีคนค้นหาด้วย Keyword ที่ตรงกับเนื้อหาในเว็บไซต์เรา

ทำไมต้องทำ SEO จำเป็นไหม?

ในโลกยุคการตลาดดิจิทัล สื่อออนไลน์เป็นช่องทางการประชาสัมพันธ์หลักของทุกธุรกิจ ประชาชนทุกคน (ลูกค้า) มีสมาร์ทโฟนติดตัว สามารถเข้าถึงสื่อออนไลน์ได้ทุกที่และทุกเวลา ดังนั้นการ SEO จะทำให้ธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จัก ให้ลูกค้าเห็นข้อมูลธุรกิจของเราก่อนคู่แข่ง จะเปิดโอกาสในการปิดการขายให้มากกว่า ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับราคาสื่อประชาสัมพันธ์อื่น ๆ

SEO ทำอย่างไร?

การทำ SEO คือ การสร้างเนื้อหาในเว็บไซต์ให้มี Keyword มากพอที่ Search Engine จะสามารถค้นเจอแล้วนำมาแสดงผล ดังนั้นความยากหรือง่ายไม่ได้อยู่ที่วิธีการสร้างเนื้อหาแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่อยู่การจะเลือกใช้ Keyword อะไรให้เหมาะสมกับเว็บไซต์หรือหน้าเพจของเราด้วย รวมไปถึงการออกแบบเนื้อหาให้สอดคล้องกับการทำงานของ Search Engine หรือ Google ซึ่งต้องอาศัยความรู้ด้านเทคนิคพอสมควรทีเดียว

มีบริษัทรับทำ SEO อยู่มากมาย ทั้งดีและไม่มี แต่เราควรจะศึกษาทำความเข้าใจ SEO ให้ดีเสียก่อน ค่อยตัดสินใจเลือกจ้างคนอื่นทำ หรือเราจะลงมือทำเอง

Organic Traffic vs. Paid Traffic – ฟรี vs. จ่ายเงิน

การให้ Search Engine แสดงผลเว็บไซต์ของเรามี 2 แบบ แบบฟรี กับ จ่ายเงิน

แบบฟรี ๆ ที่เรียกว่า Organic Traffic ทำโดยการสร้างเนื้อหาในเว็บไซต์โดยใช้ Keyword แบบที่กล่าวไปแล้วข้างต้น แบบนี้เราไม่ต้องเสียเงินโฆษณาให้ Google แต่อาศัยการทำงานสม่ำเสมอและต้องใช้เวลา

อีกแบบเรียกว่า Paid Traffic คือจ่ายเงินซื้อพื้นที่โฆษณาให้ Google เวลาแสดงผล เว็บไซต์ที่จ่ายเงินนี้จะอยู่ในตำแหน่งสูงกว่าเว็บไซต์แบบฟรี โดยจะมีคำว่า “Ad” อยู่ข้างหน้าชื่อเว็บไซต์

จริง ๆ แล้วการทำ Search Engine Optimization หรือ SEO ยังมีรายละเอียดมากกว่านี้ หวังว่าข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้จะทำให้การยอดศึกษาเรื่อง SEO ให้ลึกและกว้างต่อไปง่ายขึ้น และสามารถนำไปปรับไปกับเว็บไซต์ของคุณได้

เลือกบริษัทให้บริการทำ SEO ยังไง ดันธุรกิจให้ไกลกว่าที่คิด

Jimbe Allen
08/04/2023
เลือกบริษัทให้บริการทำ SEO ยังไง ดันธุรกิจให้ไกลกว่าที่คิด

บริษัทที่ต้องการดันอับดับเว็บไซต์ให้ติดท็อปบนหน้าแสดงผล อาจจะต้องใช้บริการบริษัททำ SEO ที่มีอยู่มากมายหลายเจ้าในตลาด การทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพมีเทคนิคหลายอย่างที่สามารถหยิบยกมาใช้ได้ โดยผู้ทำ SEO ควรมีความเชี่ยวชาญด้านนี้อย่างลงลึก แต่จะรู้ได้ยังไงว่าใครเก่งจริงหรือไม่จริง นักธุรกิจคงสับสนว่าจะเลือกใช้บริการของบริษัทไหนดี สิ่งนี้สามารถพิจารณาได้จากหลายปัจจัยที่จะนำมาอธิบายดังต่อไปนี้

  1. เลือกบริษัทที่เน้นเรื่องการพัฒนาธุรกิจ

ถ้าเจอบริษัทที่โฆษณาแค่เรื่องอันดับอย่างเดียว ต้องตัดทิ้งออกไปได้เลย บริษัท SEO ที่ดีต้องเน้นพัฒนาธุรกิจเพื่อดึงดูดผู้ใช้งานให้เข้ามาเป็นลูกค้าต่างหาก เพราะต่อให้อันดับดี แต่ไม่สามารถสร้างโครงสร้างของเว็บไซต์ให้สามารถดึงดูดใจลูกค้าเอาไว้ให้อยู่หมัดได้ สุดท้ายยอดขายที่สร้างรายได้จะไม่เกิดในท้ายที่สุด

  1. ไม่ทำ Black Hat SEO

ต้องสอบถามอย่างชัดเจน และควรหารีวิวของบริษัทให้ละเอียดว่ามีการสอดไส้การทำ Black Hat SEO เช่น การยัดคีย์เวิร์ดที่ไม่มีคุณภาพ การซ่อนคีย์เวิร์ดเอาไว้ การใส่สแปมหรือไม่ เพราะสิ่งนี้เป็นการทำ SEO ที่ไม่ยั่งยืน ถึงลำดับจะขึ้นได้เร็ว แต่สุดท้ายจะถูกลงโทษจาก Search Engine จนไม่ปรากฎบนลำดับการค้นหาในท้ายที่สุด ถึงการทำ SEO แบบตรงไปตรงมาจะจุกจิก ยุ่งยาก และใช้เวลานาน แต่สิ่งเหล่านั้นคุ้มค่ากับการลงทุนอย่างแน่นอน

  1. มีการทำสัญญาที่ชัดเจน

ไม่ว่าจะตกลงทำการซื้อขายบริการกับใครต้องกำหนดให้มีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพราะบริษัททำ SEO นั้นเปิดง่าย และไม่ได้มีการตรวจสอบที่เข้มงวดนัก จึงอาจมีมิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามา จนเจ้าของธุรกิจอาจโดนหลอกลวงจนเสียผลประโยชน์ได้

  1. อย่าเลือกบริษัทที่มีการการันตีอันดับ

คนทำ SEO ที่มีคุณภาพไม่สามารถการันตีอันดับได้อย่างแน่นอน ถ้ามีบริษัทไหนพูดว่าสามารถดันเว็บให้ขึ้นสู่อันดับ 1 ได้ ต้องสงสัยไว้ก่อนเลยว่าทำ Black Hat SEO หรือเปล่า ขอย้ำอีกครั้งว่าอย่าให้ความสำคัญกับอันดับมากกว่าคุณค่าของธุรกิจ ควรเลือกใช้แนวทางที่ดึงดูดลูกค้าคุณภาพเข้ามาซื้อสินค้าจะดีกว่า

  1. อย่าเลือกบริษัทที่โฆษณาว่าทำให้ติดอันดับได้ในเวลา 1-2 เดือน

การทำ SEO ให้ประสบผลสำเร็จอย่างตรงไปตรงมา เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะการพัฒนาเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์การทำ SEO มีรายละเอียดมากมายหลายอย่าง เนื้อหาคุณภาพที่ใช้ทำ SEO ไม่ได้สร้างขึ้นง่าย ๆ ภายใน 1-2 วัน แถมเนื้อหาที่ใช้ยังต้องมีปริมาณมากพอสมควร ดังนั้นต้องขอให้ผู้ประกอบการใจเย็น ๆ ไม่อย่างนั้นอาจตกเป็นเหยื่อของพวกทำ Black Hat SEO ได้

แนวทางการเลือกบริษัททำ SEO ที่กล่าวไปเป็นข้อสังเกตเบื้องต้น ขอให้เจ้าของธุรกิจหาข้อมูลดี ๆ และนำวิธีการเหล่านี้ไปเป็นแนวทางในการเลือกจ้างบริษัททำ SEO ที่มีคุณภาพ ไหน ๆ จะลงทุนทำการตลาดออนไลน์ทั้งทีขอให้เลือกจากทั้งคุณภาพทางเทคนิคและคุณภาพของเนื้อหา จึงจะสามารถดันธุรกิจให้เติบโตได้อย่างใจฝัน 

ทำความรู้จักส่วนขยาย Firefox สำหรับ SEO แบบไหนดีที่สุด

Jimbe Allen
30/03/2023
ทำความรู้จักส่วนขยาย Firefox สำหรับ SEO แบบไหนดีที่สุด

กลยุทธ์การตลาดในการแข่งขันการทำ SEO นับวันยิ่งค่อย ๆ มีอัตราการแข่งขันที่สูงมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะด้วยการเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึมของ Google ที่เริ่มออกทะเลไปไกลมากขึ้นทุกวันเพื่อให้คนทำต่างต้องปรับตัวเพื่อให้เท่าทันได้ในทุก ๆ วันและในวันนี้เราก็มีส่วนขยายเจ๋ง ๆ จาก Mozilla Firefox มานำเสนอเพื่อเป็นทางเลือกแก่ใครที่กำลังต้องการกลยุทธ์ในรูปแบบอื่น ๆ ในการนำไปปรับใช้ให้เข้ากับการทำ Search Engine Optimization ในการทำธุรกิจของคุณได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

รู้หรือไม่ว่าตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม 2565 เป็นต้นมา Mozilla Firefox ได้กลายมาเป็นเบราว์เซอร์ที่มีส่วนแบ่งของตลาดเบราว์เซอร์มากถึง 7.66 เปอร์เซ็นต์หรือเทียบได้ก็คือการได้รับเป็นที่นิยมสูงเป็นอันดับที่ 3 ของโลกในช่วงขณะนี้และถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกอันน่าสนใจสำหรับใครที่กำลังต้องการอยากปรับปรุงเว็บไซต์ SEO เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วยการใช้ส่วนขยายของ Firefox นั่นเอง แต่จะมีส่วนขยายในรูปแบบไหนบ้างนั้น เดี๋ยวเราลองไปเช็คอ่านกันเลย

1. Ahrefs SEO Toolbar 

มาเริ่มที่ตัวแรกกันเลยกับส่วนขยายของ Mozilla Firefox ด้วย Ahrefs SEO Toolbar ที่มีคนในวงการต่างบอกเป็นเสียงการันตีเดียวกันว่าใช้ดีมากๆ และยังมีความสามารถในการนำเสนอตัวชี้วัด SEO จุดที่สำคัญที่สุดในส่วนของเบราว์เซอร์เพื่อให้เข้าถึงหน้าหลักกับตัววัดคำหลักได้ทันท่วงทีพร้อมกับยังมีการจัดประเภท URL ( UR ) อันเป็นเรื่องของปริมาณการค้นหาทั่วไปและอื่น ๆ อีกมากมายเลยทีเดียว

2. SEOquake 

ในส่วนขยายลำดับที่ 2 ของ Mozilla Firefox ที่อยากนำเสนอก็ต้องลองใช้ด้วยชุดนี้เลยกับ SEOquake อีกหนึ่งส่วนขยาย SEO ฟรีที่จะมีให้เมตริก SEO ที่มีความสำคัญในหน้าเว็บไซต์แบบเฉพาะพร้อมกับเครื่องมือมากประโยชน์อีกหลากหลายตัวช่วยดังเช่นเครื่องมือตรวจสอบเอสอีโอ, รายงานเรื่องความหนาแน่น Keyword หรือจะเป็นเรื่องของการวิเคราะห์ลิงก์ทั้งภายในหรือภายนอก ซึ่งหากคุณติดตั้ง SEOquake บน Firefox ก็สามารถทำได้ทันที

3. Foxy SEO Tool

และในส่วนขยายลำดับที่ 3 ของ Firefox ก็ต้องนี่เลยกับ Foxy SEO Tool อันเป็นโปรแกรมพิเศษที่จะให้คุณสามารถเข้าถึงฟังก์ชันในเรื่องของ Search Engine หรือเครื่องมือการค้นหาและการวิเคราะห์ยอดปริมาณของการใช้งานเว็บไซต์แบบไวปานสายฟ้าดังเช่น Compete, Alexa และ Semrush เพราะฉะนั้นเครื่องมือเหล่านี้มีความสามารถที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบรายชื่อเว็บไซต์ใน directory สำคัญได้ดังเช่นการอ้างอิงข้อมูล Twitter หรือ Facebook นั่นเอง

4. Link Research SEO Toolbar

ลำดับสุดท้ายของส่วนขยาย Firefox กับ Link Research SEO Toolbar ที่มีประโยชน์ให้ผู้ใช้สามารถเช็คดูเมตริกเอสอีโอพร้อมกับยังสามารถให้ดูจำนวนลิงก์ย้อนกลับส่วนที่มีหน้าหรือเช็คดูการเปลี่ยนแปลงในจำนวนลิงก์ได้อีกด้วยบอกได้เลยว่า Link Research SEO Toolbar มีความสำคัญต่อการทำเอสอีโอเป็นอย่างมากเลยเช่นกัน

สำหรับใครที่กำลังต้องการกลยุทธ์ใหม่ ๆ หรือรูปแบบในการทำ SEO ในมุมที่แตกต่างจากเดิมรับรองได้ว่าการใช้ประโยชน์จากส่วนขยายต่าง ๆ ของ Mozilla Firefox จะเป็นอีกตัวช่วยให้ธุรกิจคุณสามารถพัฒนาต่อไปได้และที่สำคัญบางส่วนขยายยังสามารถใช้ฟรีได้อีกด้วย

Google คิดอย่างไรกับ SEO Low Quality Page รู้ไว้จะได้ไม่ต้องทำ

Jimbe Allen
05/04/2020
Google คิดอย่างไรกับ SEO Low Quality Page รู้ไว้จะได้ไม่ต้องทำ

หากเราพูดถึง การทำ SEO นั้นสิ่งที่หลายคนจะต้องคำนึงถึงก็คือการประเมินคุณภาพเว็บไซต์จาก Google ซึ่งการให้คะแนนนี้ไม่ได้มีการให้คะแนนบวกอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีการหักคะแนนเว็บไซต์ที่ไม่มีคุณภาพด้วยเช่นกัน วันนี้เราจึงมาแนะนำให้คุณได้รู้ว่า SEO Low Quality Page นั้นมีลักษณะอย่างไร เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องทำเว็บไซต์ออกมาแล้วโดนประเมินคะแนนจาก Google ต่ำ

ลักษณะของ SEO Low Quality Page

เป็นเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงในทางลบ ชื่อเสียงในทางลบในที่นี้หมายถึงการที่เว็บไซต์ของคุณถูกรายงานให้เป็นเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อการก่อกวนหรือผิดนโยบายของ Google นั่นเอง เมื่อไหร่ก็ตามที่เว็บไซต์ของคุณถูกรายงาน ก็อาจมีสิทธิ์ตกอันดับหรือถูกงดให้ขึ้นไปอยู่บนเพจของ Google ได้เหมือนกัน

เป็นเว็บไซต์ที่ถูกทิ้งให้ไม่มีการอัปเดต หรือเป็นสแปม เราเชื่อว่าคุณคงเคยเห็นเว็บไซต์ที่ไม่มีการอัปเดตใด ๆ หรือถูกปล่อยทิ้งไว้เป็นระยะเวลานาน ๆ แต่กลับเป็นเว็บไซต์ที่นำไปสร้าง backlink ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาบนหน้าเพจนั้น ๆ ใช่เลย เว็บไซต์แบบนี้เองที่ถือว่าเป็นสแปม

ไม่มีความน่าเชื่อถือ หากเว็บไซต์ของคุณไม่มีการ verify มีความเป็นไปได้ที่ Google จะไม่นำเอาเว็บไซต์ของคุณไปขึ้นอยู่บนหน้าแรกของ Google โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่เกิดขึ้นมาใหม่ควรทำการ verify ส่วนต่าง ๆ เช่น SSL ให้เรียบร้อย

ไม่มีข้อมูลเว็บไซต์ เมนูของเว็บไซต์ เช่น หน้าแรก ข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ ข้อมูลการติดต่อ ถือว่าเป็นส่วนสำคัญของเว็บไซต์เลยก็ว่าได้ เพราะมันจะทำให้ผู้ชมสามารถค้นหาข้อมูลของเว็บไซต์ได้ง่าย

เนื้อหาในเว็บไซต์มีคุณภาพต่ำ เนื้อหาที่คัดลอกมาหรือผ่านการทำ spinning นั้นถือว่าเป็นเนื้อหาที่มีคุณภาพต่ำที่ Google ไม่ชอบเอามาก ๆ เลยล่ะ เนื่องจากมันดูไม่สร้างสรรค์และไปซ้ำกับเว็บไซต์อื่นด้วย

สร้างเนื้อหามาหลอก bot ของ search engine สมัยนี้ bot ของ search engine อย่าง Google ไม่ได้โง่อีกต่อไปแล้ว แถมยังมีระบบดักจับเว็บไซต์ที่ชอบสร้างเนื้อหาขึ้นมาตบตาอีกด้วย

มีเนื้อหาหรือหน้าของเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย เนื้อหาที่เป็นอันตรายนั้นมักจะประกอบไปด้วยส่วนที่โยงไปหา ไวรัสและมัลแวร์ รวมถึงมีโฆษณาล่อแหลมที่เป็นแหล่งของสปายแวร์ทั้งหลาย หากเว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาแบบนี้อยู่ ก็ยิ่งมีโอกาสตกอันดับมากขึ้น

เราจะเห็นได้ว่า SEO Low Quality Page หรือเว็บไซต์ที่มีคุณภาพต่ำนั้น สามารถเกิดขึ้นได้กับหลายเว็บไซต์ที่ไม่ได้มีการคำนึงถึงเรื่องคุณภาพ โดยไม่ได้เป็นเรื่องของคุณภาพเนื้อหาเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของโครงสร้างภายในและเว็บไซต์อีกด้วย หากคุณไม่ต้องการให้เว็บไซต์ของคุณถูกประเมินด้วยคะแนนที่ต่ำแล้วล่ะก็ ห้ามทำตาม list ที่อยู่ด้านบนเด็ดขาด

ลักษณะของ SEO Low Quality Page

ทำไมต้องจ้างนักเขียนทำบทความ SEO ?

Jimbe Allen
01/04/2020

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่คิดว่าการเขียนบทความนั้นเป็นสิ่งที่ใครก็ทำได้และ การเขียนบทความ SEO ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ยากเพียงแค่รู้หลักการเท่านั้น แต่เดี๋ยวก่อน… เรามาดูกันว่าการจ้างนักเขียนบทความ SEO นั้นช่วยทำให้การทำ SEO ไต่อันดับและช่วยงานคุณได้อย่างไรบ้าง แล้วคุณอาจเปลี่ยนใจอยากจ้างนักเขียนไปตลอดก็ได้นะ

เหตุผลที่ต้องจ้างเขียนบทความ

การเขียนบทความ SEO ไม่ได้เป็นเพียงแค่บทความทั่วไป

หากคุณคิดว่าบทความทั่วไปที่ไม่ต้องมีคีย์เวิร์ดนั้นยากอยู่แล้ว คุณจะเข้าใจได้แบบง่าย ๆ ว่าการเขียนบทความ SEO นั้นมีระดับความยากยิ่งกว่า เพราะบทความ SEO ต้องมีการแทรกคีย์เวิร์ด สอดแทรกเนื้อหาที่แบรนด์ต้องการสื่อสารออกไป แต่ในทางเดียวกันก็ต้องไม่ทำให้บทความน่าเบื่อเพื่อให้คนอ่านสามารถอ่านไปได้จนจบอีกด้วยเหมือนกัน

บทความแต่ละบทใช้เวลาในการเขียน

แน่นอนว่าการเขียนบทความทั่วไปนั้นไม่ได้ใช้เวลาน้อย ๆ อย่างที่หลายคนคิด เพราะในขั้นตอนของการเขียนไม่ได้มีเพียงแค่การพิมพ์ตัวหนังสือออกมาเท่านั้น แต่ยังมีขั้นตอนของการค้นคว้าและเรียบเรียงตัวหนังสือเพื่อให้ได้บทความที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและครอบคลุมสิ่งที่แบรนด์ต้องการสื่อสาร พร้อมกับแทรกคีย์เวิร์ดหลายคำเข้าไปอีกด้วย มันน่าจะดีกว่าถ้าคุณจ้างนักเขียนที่มีความเชี่ยวชาญมาจัดการให้

นักเขียนมีความเชี่ยวชาญและทักษะในการเขียนบทความ SEO มากกว่า

อย่างที่เรารู้กันไปแล้วว่าบทความ SEO นั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่บทความธรรมดาทั่วไป นอกจากจะต้องใช้ทักษะทางด้านการเขียนแล้ว ยังต้องมีความเข้าใจวิธีการทำ SEO อีกด้วย ลองคิดดูสิว่าการที่คุณต้องเขียนเองนั้น ต้องใช้เวลาเรียนรู้นานกี่เดือนจึงจะเขียนบทความให้มีคุณภาพได้ แต่นักเขียนบทความ SEO จะช่วยตัดปัญหาเรื่องของการที่คุณต้องไปนั่งเรียนเองหรือหาความรู้เอาเองได้เยอะเลยทีเดียวล่ะ

ได้ผลลัพธ์ทันทีด้วยบทความที่มีคุณภาพ

คุณสามารถนำบทความ SEO ที่ได้จากนักเขียนไปใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องมานั่งคิดเองว่าจะต้องวางคีย์เวิร์ดไว้ตรงไหนบ้าง แล้วแต่ละบทจะต้องมีกี่คำ เพราะนักเขียนจะเป็นคนจัดการให้คุณทั้งหมดเสร็จสรรพ โดยบทความที่ได้จะเป็นบทความที่มีทั้งคีย์เวิร์ดที่คุณต้องการ มีจำนวนคำที่เหมาะสมต่อการทำ SEO และยังเป็นบทความที่วางตำแหน่งแต่ละพารากราฟได้อย่างลงตัว สามารถนำไปโพสต์ได้เลยทันที

เห็นไหมว่าการจ้างนักเขียนเพื่อทำบทความ SEO นั้นไม่ได้แค่ช่วยให้คุณได้บทความ SEO ที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังช่วยประหยัดงบประมาณและช่วยย่นเวลาของคุณเพื่อไปดูแลงานอย่างอื่นได้อีกเยอะเลยทีเดียว แล้วคุณล่ะอยากเปลี่ยนจากการเขียนบทความเอง มาเป็นการจ้างนักเขียนแทนหรือไม่

เหตุผลที่ต้องจ้างเขียนบทความ

SEO กับ SEM ต่างกันที่ตรงไหน อย่างไร?

Jimbe Allen
25/03/2020
SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร

ความรู้ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นความรู้พื้นฐานที่นักการตลาดมือเก่ามือใหม่คุ้นเคยกันดี เพราะการทำ SEO เป็นวิธีการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรกของ Search Engine ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโลก ซึ่งแต่ละพื้นที่นั้น ความนิยมของ Search Engine แต่ละแห่งก็มีความแตกต่างกันไป เช่น ในประเทศไทยใช้ Google เป็นหลัก, ประเทศจีนนิยมใช้ Baidu หรือประเทศญี่ปุ่นนิยมใช้ Yahoo เป็นต้น

วิธีการทำ SEO แบ่งออกเป็นการทำ On-page หรือการนำ Keyword ที่มีการค้นหาเยอะแต่มีอัตราการแข่งขันน้อยมาใช้เขียนบทความต่าง ๆ เพื่อให้เกิดอัตราการค้นหาเป็นอันดับต้น ๆ ของ Search Engine และการทำ Off-page หรือการทำ back link จากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถืออื่น ๆ แนะนำมายังเว็บไซต์ของเราเพื่อให้เว็บไซต์ได้รับความสนใจจาก Search Engine ที่กำลังทำอยู่

SEM หรือ Search Engine Marketing เป็นพื้นฐานหนึ่งของการทำการตลาดออนไลน์เช่นกัน แต่กลับถูกมองข้าม SEM คือ การซื้อพื้นที่โฆษณาบน Search Engine โดยใช้ Keyword ในตลาดที่ต้องการมาแข่งขัน โดยภายในเว็บไซต์ที่ทำ SEM อาจมีหรือไม่มีการทำ SEO ก็ได้ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วการทำ SEM ให้ได้ผลยั่งยืนควรทำ SEM ไปพร้อมกับการทำ SEO เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือจากผู้ใช้งานและ Search Engine

ความแตกต่างของ SEM และ SEO

– SEO เป็นส่วนหนึ่งของการทำ SEM ซึ่งไม่ควรจะแยกออกจากกัน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ผลลัพธ์ของแต่ละเว็บไซต์มีความแตกต่างกันไป เช่น ความต้องการยอดขาย, ความต้องการสร้างแบรนด์ หรือความต้องการให้คนเข้าเว็บไซต์เยอะ ๆ เพื่อขายพื้นที่โฆษณา เป็นต้น

– SEM เป็นวิธีการแข่งขันการตลาดออนไลน์ด้วยการซื้อพื้นที่โฆษณาใน Keyword ที่ต้องการ แต่ SEO เป็นวิธีการแข่งขันการตลาดด้วยการทำ Content ด้วยการใช้ Keyword

– SEM ช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับในหน้าแรกได้เร็วกว่า แต่หากไม่ทำพื้นฐานให้ดีหรือเลือก Keyword ที่มีการแข่งขันสูงเกินไป อาจทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะ โดยวิธีการเรียกเก็บค่าบริการจะเป็นแบบ PPC หรือ Pay per click คือ หากไม่มีการคลิกเข้าสู่เว็บไซต์ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน แตกต่างจาก SEO ที่หากเลือก Keyword ดี มีอัตราการแข่งขันต่ำแต่คนค้นหาเยอะ อัปโหลดบทความหรือ Content ที่น่าสนใจอย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถติดอันดับหน้าแรกบน Search Engine ได้เช่นกันโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายต่อคลิกเหมือน SEM นอกจากนี้แม้ว่าการทำ SEM จะสามารถทำให้คนเข้าสู่เว็บไซต์ได้ตามความต้องการ แต่หากเว็บไซต์ไม่มีคุณภาพ ก็อาจไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ทั้ง SEM และ SEO เป็นพื้นฐานการทำเว็บไซต์ที่นักการตลาดออนไลน์ต้องศึกษาให้ดีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่หากจะให้ดีการทำพื้นฐานเว็บไซต์ดี (SEO) เช่น เว็บโหลดไว, มี content ที่มีประโยชน์, อัปโหลดสม่ำเสมอ และทำ SEM ควบคู่ไปด้วย ก็จะทำให้เว็บไซต์มีคุณภาพและสามารถทำตามเป้าหมายของเว็บไซต์ที่ตั้งไว้ให้เป็นจริงได้ เช่น ยอดขายที่เพิ่มขึ้น หรือยอดสมาชิกที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น

ความแตกต่างของ SEM และ SEO

เรื่องดี ๆ ของ Ubersuggest ที่คนทำ SEO ต้องสนใจ

Jimbe Allen
19/02/2020

การทำ SEO หรือ search engine optimization จำเป็นในการทำให้ธุรกิจออนไลน์ประสบความสำเร็จ เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ซึ่งโปรแกรมหนึ่งที่นักการตลาดออนไลน์แนะนำให้คนทำเว็บไซต์ SEO เรียนรู้ คือ Ubersuggest ที่คิดโดย Neil Patel จะช่วยให้ทำ SEO อย่างมีผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

โปรแกรม Ubersuggest สามารถดาวน์โหลดใช้งานได้ฟรี และมีจุดเด่นที่สามารถค้นหา keyword ได้ทั้งแบบภาษาไทยและอังกฤษ ในทุกวงการธุรกิจอย่างไม่มีข้อจำกัด ไม่ว่า คุณจะขายสินค้าจำพวกแม่และเด็ก ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เครื่องสำอาง ของใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ไอที รถยนต์ ประกันภัย โรงแรมที่พัก รีสอร์ท และอื่น ๆ ก็สามารถใช้โปรแกรมนี้ได้

อย่างไรก็ตาม Ubersuggest มีข้อเสีย ที่ไม่สามารถย้อนดูประวัติการหา keyword เก่า ๆ ที่เคยทำเอาไว้ได้ และไม่เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการวางแผนงาน SEO อย่างซับซ้อน เพราะเน้นการใช้งานในวงกว้างมากกว่า

ตัวอย่างประโยชน์จากการใช้งาน Ubersuggest ได้แก่

ช่วยในการเลือก keyword ที่เหมาะสมในการเขียนบทความได้

การหา keyword ที่มีศักยภาพในการแข่งขันสูง เป็นสิ่งสำคัญเพราะจะทำให้โอกาสในการถูกสืบค้นมีมากยิ่งขึ้นหลายเท่า ซึ่งผู้ใช้งานที่ดาวน์โหลดโปรแกรมนี้แล้ว ได้เลือกภูมิภาคของลูกค้าเป้าหมายที่ต้องการให้รู้จักเว็บไซต์ เช่น เลือกประเทศไทย โปรแกรม Ubersuggest ก็จะแสดงค่าสถิติการใช้งาน keyword แต่ละคำในสายธุรกิจของคุณออกมา ซึ่งจะแสดงทั้งส่วนของภาพรวมการค้นหาหรือ search volume ศักยภาพในการแข่งขันเมื่อเทียบกับคำสำคัญอื่น ๆ หรือ ค่า search difficulty และประสิทธิภาพในการสื่อสารกระตุ้นให้คลิกเข้ามาชมในเว็บไซต์ หากใช้ในการทำโฆษณา ที่เรียกว่า ค่า page difficulty เป็นต้น

การดูสถิติค่า Traffic การเข้าชมของเว็บไซต์

หลังจากทำ SEO จำเป็นที่ต้องรู้ว่ามีประสิทธิภาพคุ้มค่าเพียงใด นั่นคือการดูที่สถิติ traffic ที่ Ubersuggest จะแสดงเป็นตัวเลขเปอร์เซ็นต์ที่บ่งบอกให้รู้ว่า domain เว็บไซต์ของคุณสื่อสารกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ตรงตามวัตถุประสงค์หรือไม่ โดยโปรแกรมจะจำแนกเป็น organic keyword คือ จำนวน keyword ที่ติดหน้าสืบค้นของ Google อันดับต้น ๆ โดยมาจากการทำ SEO โดยตรง ไม่อาศัยการโฆษณา และยังมีการคำนวณ organic monthly traffic หรือจำนวนคนที่เข้ามาคลิกเข้ามาชมในเว็บไซต์ต่อเดือนเป็นแบบภาพรวมด้วย ที่มาจากการเห็นชื่อบทความและบทย่อที่ดึงดูดใจ เป็นต้น

โปรแกรม Ubersuggest นับว่าเป็นตัวช่วยด้าน SEO ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นจากคนรุ่นใหม่ เพราะสามารถที่จะเรียนรู้การใช้งานได้ง่าย คนทำเว็บไซต์ออนไลน์มือใหม่ จึงไม่ต้องเสียโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจ เราหวังว่าบทความนี้จะให้ข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ให้แก่คนที่สนใจทำเว็บไซต์ SEO เพื่อนำไปปรับใช้ให้ธุรกิจเติบโตมากยิ่งขึ้น

เรื่องดี ๆ ของ Ubersuggest ที่คนทำ SEO ต้องสนใจ

Google algorithm สำหรับเว็บไซต์ SEO ที่คุณควรรู้จัก

Jimbe Allen
10/01/2020
Google algorithm สำหรับเว็บไซต์ SEO ที่คุณควรรู้จัก

การทำ SEO หรือ search engine optimization เป็นสิ่งที่ช่วยในการประเมินคุณภาพของแต่ละเว็บไซต์ เพื่อจัดอันดับให้เว็บไซต์ที่มีคุณภาพสูงอยู่ในอันดับต้นของหน้าต่างการสืบค้นทางช่อง Search Google เสมอ ซึ่ง algorithm ที่ Google ออกแบบเพื่อการวิเคราะห์ในแต่ละส่วนของเว็บไซต์มีอยู่หลายชนิดและมีการพัฒนามาตามลำดับ โดยมีข้อมูลของแต่ละ algorithm ที่ผู้ดูแลเว็บไซต์และเจ้าของกิจการออนไลน์ควรทำความรู้จัก ดังนี้

ผู้ดูแลเว็บไซต์ ควรรู้สิ่งเหล่านี้

1. แพนด้า

เป็นระบบการตรวจจับการละเมิดลิขสิทธิ์ เช่น การใช้บทความที่เนื้อหาคัดลอกจากเว็บไซต์อื่นโดยตรง รวมถึงการใช้ภาพที่ละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย ซึ่ง ปัจจุบันผู้ที่ผลิต บทความ SEO จะต้องตรวจสอบคำซ้ำ หรือ ทำ plagiarism check เพื่อเป็นการยืนยันว่าไม่มีปัญหาการคัดลอกลิขสิทธิ์ในเบื้องต้น จึงจะสามารถมั่นใจได้ว่าจะไม่มีปัญหากับ AI ระบบนี้

2. เพนกวิน

เพนกวินเป็นการตรวจสอบลิงก์ที่เชื่อมโยงกับเพจหรือเว็บไซต์ที่ต้องทำตามกฎของ Google คือ ไม่ใช่การซื้อลิงก์หรือการเชื่อมโยงเพจที่คุณภาพต่ำ ทำ spam เพื่อเน้นการปั่นให้ keyword ถูกสืบค้นง่าย ซึ่งหากระบบเพนกวินพบว่ามีการทำเป็นสแปม จะทำให้ถูกแบนหรือลดอันดับความน่าเชื่อถือได้

3. pirate

เป็นตัวช่วยในการหาเว็บไซต์ที่โจรกรรมข้อมูล เช่นการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ เพลง ซีรีส์ ฯลฯ หากคุณนำภาพยนตร์ที่ไม่ผ่านการขอใช้เป็นกิจจะลักษณะ มีหลักฐาน หรือละเมิดสิทธิ์ใด ๆ มาใช้ ก็จะถูกตรวจจับจาก AI ตัวนี้อย่างแน่นอน

4. ฮัมมิ่งเบิร์ด

เป็นตัวช่วยให้ผู้ใช้งาน Google ได้อ่านงานเขียนที่มีคุณภาพสูง จากเว็บไซต์อันดับต้น มีภาษาที่เป็นธรรมชาติ ไม่มีการใส่ คีย์เวิร์ด มากเกินไปจนรบกวนสายตา คุณอาจจะเคยเห็นงานแปลที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์หรือ Robot แปล ซึ่งจะมีความผิดพลาดทั้งในเนื้อหาและมีความแข็งทื่อของสำนวนภาษา ซึ่งระบบอัลกอริทึมนี้ของ Google จะตรวจสอบได้ว่าเป็นงานเขียนคุณภาพต่ำ และจะจัดให้เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาแบบนั้นมีอันดับอยู่ล่าง ๆ

5. พอสซั่ม

เป็นระบบวิเคราะห์ว่าธุรกิจใดที่ระบุตำแหน่งที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกับที่ผู้ใช้งาน Google กำลังสืบค้น ซึ่งเจ้าของเว็บไซต์ควรระบุให้ละเอียดที่สุดเพื่อประโยชน์ในการแข่งขันทางธุรกิจและความเชื่อมั่นของลูกค้า ตัวอย่างเช่น ลูกค้ากำลังมองหาร้านขายคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย หรือหารีสอร์ทติดทะเลในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ระบบจะนำเสนอเว็บไซต์ที่มีคุณภาพสูงที่สุด และมีที่ตั้งอยู่ใกล้สัมพันธ์กับตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของตัวผู้สืบค้นข้อมูลก่อน

จะเห็นได้ว่าระบบ algorithm ของ Google เป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับการแข่งขันคุณภาพในระบบ SEO ซึ่งสามารถคัดกรองคุณภาพของเว็บไซต์และช่วยสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ใช้งาน Google ซึ่งเป็น search engine อันดับต้น ๆ ของโลกมากยิ่งขึ้น เราหวังว่าบทความนี้จะทำให้ทุกท่านได้เข้าใจระบบ algorithm ของ AI และปฏิบัติตามระเบียบที่ Google แนะนำ เพื่อทำให้การทำ SEO ประสบผลสำเร็จยิ่งขึ้น

ผู้ดูแลเว็บไซต์และเจ้าของกิจการออนไลน์

แบบไหนถึงควรจ้างทำ SEO และเลือกอย่างไรดี

Jimbe Allen
20/12/2019
เมื่อไหร่ที่คุณควรจ้างบริษัททำ SEO

การทำ SEO หรือ search engine optimization ช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้เร็ว สร้างแบรนด์ให้รู้จักในวงกว้าง ทั้งยังช่วยขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้น จึงทำให้ยอดขายตามมาได้ แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า เมื่อไหร่ควรที่จะจ้างทำ SEO และควรมองหาบริษัทที่ไหนดี เรามีคำตอบให้ในบทความนี้

เมื่อไหร่ที่คุณควรจ้างบริษัททำ SEO

หากคุณประสบปัญหาว่า เว็บไซต์ที่เปิดมาได้สักพัก ไม่มีจำนวนผู้เข้าชม หรือแม้มีผู้เข้าชมก็แทบไม่มีการสั่งออเดอร์สินค้าใด ๆ รวมถึงแม้จะมีการแชร์ไปทางแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น facebook หรือ Instagram แล้ว ก็ยังไม่มีคนสนใจ แสดงว่าคุณต้องมีการปรับปรุงทั้งส่วน on-Page และ off-Page SEO ซึ่งบริษัทรับทำ SEO สามารถที่จะช่วยตรงนี้ได้

การหาบริษัทรับทำ SEO

คุณควรที่จะสอบถามจากเพื่อนหรือคนรู้จักที่มีการจ้างบริษัททำ SEO มาก่อน ให้เขาช่วยแนะนำ จะลดความเสี่ยงในการหาบริษัทที่ไม่มีที่มาที่ไปได้ ทั้งทำให้คุณรู้ฝีมือคร่าว ๆ ได้ว่าสร้างผลลัพธ์ให้ยอดขายหรือลูกค้าเพิ่มขึ้นได้มากน้อยเพียงใดจากประสบการณ์คนใกล้ตัว

แต่หากคุณไม่มีคนรู้จัก แนะนำให้เลือกจากรายชื่อบริษัทที่โฆษณาผ่าน Google ที่เห็นอยู่ในด้านบนของหน้าต่างสืบค้น ของGoogle search บริษัทเหล่านี้มักมีความเป็นมืออาชีพ มีหลักฐานที่ยืนยันตัวตนได้อย่างชัดเจน ลดโอกาสถูกหลอกลวงได้

หลังจากที่คุณประเมินตัวเองแล้วว่า เว็บไซต์ของคุณยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จำเป็นต้องจ้างบริษัททำ SEO และได้รายชื่อบริษัทที่น่าสนใจแล้ว ขั้นต่อไป ควรสอบถามข้อมูลพื้นฐานกับทางบริษัทเสียก่อน ว่าการทำ SEO ที่บริษัทเล็งเห็นว่าเว็บไซต์ของคุณควรต้องทำเป็นอันดับต้น ๆ มีอย่างไรบ้าง แล้วจะรับประกันผลได้อย่างไร ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอันดับการสืบค้นที่ดีขึ้น หากคำตอบที่ได้สอดคล้องกับหลักการทำ SEO อย่างถูกต้อง ก็มีความน่าสนใจที่คุณจะจ้างงาน ซึ่งคุณสามารถศึกษาขั้นเบื้องต้นได้จากเว็บไซต์ให้ข้อมูล SEO ทั่วไป

อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบทะเบียนการค้าของบริษัทเพื่อให้มีการติดตามผู้รับผิดชอบได้ เนื่องจากสัญญาการทำ SEO จะเป็นระยะ 6 เดือน หรือ 1 ปี ขึ้นไป ตามหลักการ SEO ที่ต้องใช้ระยะเวลาในการสะสมข้อมูลให้ระบบ algorithm ประมวลผล จึงควรเลือกบริษัทที่มั่นใจในความสามารถและมีความรับผิดชอบสูง

เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้นักธุรกิจออนไลน์ที่ไม่แน่ใจในคุณภาพเว็บไซต์ตัวเอง หรือกำลังมองหาบริษัททำ SEO ให้อันดับสืบค้นดีขึ้น ได้เห็นแนวทางในการพิจารณาและปรับใช้กับการเลือกบริษัทที่มีคุณภาพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันได้ดียิ่งขึ้น และลดความเสี่ยงในการถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงด้วย

แบบไหนถึงควรจ้างทำ SEO และเลือกอย่างไรดี