แนวทางการสร้างรากฐาน SEO

Jimbe Allen
15/03/2024
แนวทางการสร้างรากฐาน SEO

ต่อไปนี้เป็นแนวทางพื้นฐานในการทำ SEO

เนื้อหาเป็นสิ่งสำคัญ: มุ่งเน้นที่การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูง ให้ข้อมูล และน่าดึงดูดซึ่งตอบสนองความต้องการและจุดประสงค์ในการค้นหาของกลุ่มเป้าหมายของคุณ
การวิจัยคำหลัก: ระบุคำหลักที่เกี่ยวข้องที่ผู้ใช้ค้นหาและรวมคำหลักเหล่านั้นไว้ในเนื้อหาของคุณอย่างมีกลยุทธ์
เทคนิค SEO: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณมีโครงสร้างที่สะอาดตาและปรับให้เหมาะสม พร้อมเวลาในการโหลดที่รวดเร็วและเหมาะกับอุปกรณ์พกพา
การเพิ่มประสิทธิภาพบนเพจ: เพิ่มประสิทธิภาพแท็กชื่อ คำอธิบายเมตา แท็กส่วนหัว และข้อความแสดงแทนรูปภาพด้วยคำหลักที่เกี่ยวข้อง
ลิงก์ย้อนกลับ: รับลิงก์จากเว็บไซต์คุณภาพสูงที่ทำหน้าที่เป็นการรับรองและเพิ่มอำนาจเว็บไซต์ของคุณในสายตาของเครื่องมือค้นหา
ประสบการณ์ผู้ใช้ (UX): จัดลำดับความสำคัญของเว็บไซต์ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ด้วยการนำทางที่ชัดเจนและประสบการณ์โดยรวมเชิงบวก

ต่อไปนี้เป็นจุดเพิ่มเติมที่ควรพิจารณา

รับทราบข้อมูล: อัลกอริธึมของเครื่องมือค้นหามีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการติดตามแนวโน้ม SEO ล่าสุดและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดจึงเป็นสิ่งสำคัญ
มุ่งเน้นที่คุณค่า: อย่าเติมคำหลักเพียงอย่างเดียว สร้างเนื้อหาที่ให้คุณค่าที่แท้จริงแก่ผู้ใช้
กลยุทธ์ระยะยาว: SEO คือการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งระยะสั้น เตรียมพร้อมที่จะสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ และสร้างกลยุทธ์การเพิ่มประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
โปรดจำไว้ว่า แม้ว่าหลักเกณฑ์เหล่านี้จะถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ SEO ก็เป็นสาขาที่ซับซ้อน เพื่อความเข้าใจที่ครอบคลุม

ลองสำรวจแหล่งข้อมูลเช่น

คู่มือเริ่มต้นการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือการค้นหา (SEO) ของ Google: https://developers.google.com/search/docs/fundamentals/get-started-developers
คู่มือ SEO สำหรับผู้เริ่มต้นของ Moz: https://moz.com/beginners-guide-to-seo/quick-start-guide
เมื่อปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เหล่านี้และติดตามแนวโน้มล่าสุด คุณจะสามารถเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์ของคุณและการเข้าชมทั่วไปผ่านแนวทางปฏิบัติ SEO ที่มีประสิทธิภาพ

ประเภทของ SEO ที่ควรรู้ก่อนเริ่มต้น

Jimbe Allen
02/03/2024
ประเภทของ SEO ที่ควรรู้ก่อนเริ่มต้น

จำนวนประเภท SEO อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวิธีการจัดหมวดหมู่ ต่อไปนี้เป็นมุมมองทั่วไปสองประการ:

  1. สามประเภทหลัก

SEO บนเพจ: การเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาเว็บไซต์ เช่น การใช้คำสำคัญที่เกี่ยวข้องและคำอธิบายเมตา
SEO นอกเพจ: การสร้างลิงก์ย้อนกลับและปัจจัยภายนอกที่ปรับปรุงอำนาจของเว็บไซต์
เทคนิค SEO: การทำให้แน่ใจว่าโปรแกรมรวบรวมข้อมูลของเครื่องมือค้นหาสามารถเข้าถึงและจัดทำดัชนีเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  1. การแบ่งหมวดหมู่แบบขยาย (ประมาณ 12 ประเภท)

สิ่งนี้จะแบ่ง SEO ออกเป็นด้านเฉพาะมากขึ้นเช่น

SEO ท้องถิ่น: การเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับผลการค้นหาในท้องถิ่น
SEO บนมือถือ: การเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์สำหรับอุปกรณ์มือถือ
E-commerce SEO: การเพิ่มประสิทธิภาพร้านค้าออนไลน์สำหรับการค้นหาผลิตภัณฑ์
Content SEO: การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่ดึงดูดการเข้าชมแบบออร์แกนิก
Image SEO: การเพิ่มประสิทธิภาพรูปภาพสำหรับเครื่องมือค้นหา

แม้ว่ามีวิธีจัดหมวดหมู่ SEO หลายวิธี แต่การทำความเข้าใจประเด็นหลักเหล่านี้สามารถช่วยให้คุณพัฒนากลยุทธ์ SEO ที่ครอบคลุมสำหรับเว็บไซต์ของคุณได้

เทคนิคดัน SEO ด้วยรูปภาพ ที่ให้ผลลัพธ์เกินคาดเสมอ!

Jimbe Allen
27/05/2023
เทคนิคดัน SEO ด้วยรูปภาพ ที่ให้ผลลัพธ์เกินคาดเสมอ!

หลายคนคิดว่าการทำ SEO ให้ดีต้องมุ่งเน้นไปที่การใส่คีย์เวิร์ดให้เยอะ ๆ และเน้นไปที่การพัฒนาแต่คอนเทนต์ที่เป็นเนื้อหาบทความเพียงอย่างเดียว แต่ความจริงแล้วอีกอย่างที่สามารถส่งเสริมการทำ SEO ได้เป็นอย่างดีคือการปรับแต่งรูปภาพให้สอดคล้องกับการตรวจสอบของอัลกอริทึมสำหรับ SEO โดย Google สิ่งนี้จะทำให้เว็บไซต์ธุรกิจของคุณจะโดดเด่นกว่าคู่แข่งหลาย ๆ คนได้อย่างแน่นอน

  1. เลือกใช้ภาพต้นฉบับ

เว็บไซต์ส่วนใหญ่มักเลือกใช้ภาพฟรีจากอินเทอร์เน็ตมาใช้ประกอบเนื้อหา ทำให้ส่วนใหญ่ภาพที่ปรากฏบนหน้าเพจมักจะเป็นภาพเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ไม่โดดเด่น ดังนั้นแนะนำว่าผู้ที่ต้องการใช้ SEO เพิ่มการเข้าถึงลูกค้าควรจัดทำภาพต้นฉบับขึ้นมาประกอบเนื้อหาจะดีกว่า เพราะจะได้ภาพที่สื่อความหมายได้ดีที่สุด และมีความแตกต่างเฉพาะตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเว็บไซต์อื่น ๆ

  1. ใส่คำบรรยายต่าง ๆ ให้ถูกต้อง

Google ไม่สามารถมองเห็นภาพต่าง ๆ ได้เหมือนมนุษย์ ดังนั้นอัลกอริทึมจะทำงานได้ด้วยการตรวจจับแคปชั่นที่เราใส่เพื่อบรรยายรูปภาพต่าง ๆ แทน ดังนั้นใครที่เคยละเลยส่วนนี้ไปต้องรีบทำการแก้ไขโดยด่วน สิ่งที่ต้องทำการแก้ไขเมื่ออัพโหลดรูปคือ Title, Alt Text, Meta Description โดยต้องมีส่วนประกอบของคีย์เวิร์ดอยู่ในแคปชั่นต่าง ๆ เหล่านี้ด้วย จะส่งผลดีต่อการทำ SEO รูปภาพเป็นอย่างมาก

  1. ไฟล์ภาพขนาดพอดี ๆ

หลายคนอาจจะคิดว่าภาพยิ่งใหญ่ยิ่งดี เพราะคิดว่าผู้ใช้งานคงชอบภาพใหญ่ ๆ ที่มีความโดดเด่น แต่รู้ไหมว่าภาพที่มีขนาดใหญ่จนเกินไปจะทำให้ประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ลดลงแทน เพราะยิ่งภาพใหญ่ยิ่งใช้เวลาในการโหลดเพื่อแสดงผลนาน ดังนั้นในขั้นตอนก่อนอัพโหลดไฟล์ภาพ ขอให้พยายามบีบอัดไฟล์รูปภาพให้อยู่ที่ประมาณ 100-200 kb จะดีกว่า

  1. ส่ง Sitemap ให้ Google

Sitemap เปรียบเหมือนแผนผังที่รวบรวมว่าภายในเว็บไซต์มีรายการอะไรบ้างที่นำเสนอบนอินเทอร์เน็ต เป็นการนำเสนอภาพรวมโครงสร้างเว็บไซต์ ซึ่งรูปภาพต่าง ๆ จะถูกบรรจุอยู่บน Sitemap เหล่านี้เช่นกัน สิ่งนี้จะทำให้ Bot ที่มีหน้าที่สำรวจเว็บไซต์ต่าง ๆ ทำงานบนเว็บของเราได้สะดวกยิ่งขึ้น จึงทำให้การจัดอันดับ Google Image ดีขึ้นด้วย

  1. วางตำแหน่งรูปให้สอดคล้องกับเนื้อหา

ตำแหน่งของรูปมีส่วนสำคัญกับ SEO เช่นกัน โดยตำแหน่งที่ดีที่สุดควรอยู่รอบข้างกับเนื้อหาที่ต้องการสื่อสาร โดยคีย์เวิร์ดที่ใช้บรรยายภาพจะต้องสอดคล้องกับคีย์เวิร์ดที่ปรากฏในบทความ สิ่งนี้เป็นการสื่อสารที่ยอดเยี่ยม ทำให้ผู้ใช้งานเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น 

ดังนั้นใครที่กำลังดูแลเว็บไซต์ธุรกิจอยู่และไม่แน่ใจว่าจะพัฒนาเว็บไซต์ให้ SEO ดีขึ้นได้อย่างไร อย่าลืมนำปัจจัยของรูปภาพที่เราแนะนำไปพิจารณาด้วย เพียงแค่หมั่นพัฒนาเว็บไซต์ตามแนวทาง SEO อย่างต่อเนื่อง จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อการทำธุรกิจในระยะยาวอย่างแน่นอน

ทำไมต้องจ้างนักเขียนทำบทความ SEO ?

Jimbe Allen
01/04/2020

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่คิดว่าการเขียนบทความนั้นเป็นสิ่งที่ใครก็ทำได้และ การเขียนบทความ SEO ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ยากเพียงแค่รู้หลักการเท่านั้น แต่เดี๋ยวก่อน… เรามาดูกันว่าการจ้างนักเขียนบทความ SEO นั้นช่วยทำให้การทำ SEO ไต่อันดับและช่วยงานคุณได้อย่างไรบ้าง แล้วคุณอาจเปลี่ยนใจอยากจ้างนักเขียนไปตลอดก็ได้นะ

เหตุผลที่ต้องจ้างเขียนบทความ

การเขียนบทความ SEO ไม่ได้เป็นเพียงแค่บทความทั่วไป

หากคุณคิดว่าบทความทั่วไปที่ไม่ต้องมีคีย์เวิร์ดนั้นยากอยู่แล้ว คุณจะเข้าใจได้แบบง่าย ๆ ว่าการเขียนบทความ SEO นั้นมีระดับความยากยิ่งกว่า เพราะบทความ SEO ต้องมีการแทรกคีย์เวิร์ด สอดแทรกเนื้อหาที่แบรนด์ต้องการสื่อสารออกไป แต่ในทางเดียวกันก็ต้องไม่ทำให้บทความน่าเบื่อเพื่อให้คนอ่านสามารถอ่านไปได้จนจบอีกด้วยเหมือนกัน

บทความแต่ละบทใช้เวลาในการเขียน

แน่นอนว่าการเขียนบทความทั่วไปนั้นไม่ได้ใช้เวลาน้อย ๆ อย่างที่หลายคนคิด เพราะในขั้นตอนของการเขียนไม่ได้มีเพียงแค่การพิมพ์ตัวหนังสือออกมาเท่านั้น แต่ยังมีขั้นตอนของการค้นคว้าและเรียบเรียงตัวหนังสือเพื่อให้ได้บทความที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและครอบคลุมสิ่งที่แบรนด์ต้องการสื่อสาร พร้อมกับแทรกคีย์เวิร์ดหลายคำเข้าไปอีกด้วย มันน่าจะดีกว่าถ้าคุณจ้างนักเขียนที่มีความเชี่ยวชาญมาจัดการให้

นักเขียนมีความเชี่ยวชาญและทักษะในการเขียนบทความ SEO มากกว่า

อย่างที่เรารู้กันไปแล้วว่าบทความ SEO นั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่บทความธรรมดาทั่วไป นอกจากจะต้องใช้ทักษะทางด้านการเขียนแล้ว ยังต้องมีความเข้าใจวิธีการทำ SEO อีกด้วย ลองคิดดูสิว่าการที่คุณต้องเขียนเองนั้น ต้องใช้เวลาเรียนรู้นานกี่เดือนจึงจะเขียนบทความให้มีคุณภาพได้ แต่นักเขียนบทความ SEO จะช่วยตัดปัญหาเรื่องของการที่คุณต้องไปนั่งเรียนเองหรือหาความรู้เอาเองได้เยอะเลยทีเดียวล่ะ

ได้ผลลัพธ์ทันทีด้วยบทความที่มีคุณภาพ

คุณสามารถนำบทความ SEO ที่ได้จากนักเขียนไปใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องมานั่งคิดเองว่าจะต้องวางคีย์เวิร์ดไว้ตรงไหนบ้าง แล้วแต่ละบทจะต้องมีกี่คำ เพราะนักเขียนจะเป็นคนจัดการให้คุณทั้งหมดเสร็จสรรพ โดยบทความที่ได้จะเป็นบทความที่มีทั้งคีย์เวิร์ดที่คุณต้องการ มีจำนวนคำที่เหมาะสมต่อการทำ SEO และยังเป็นบทความที่วางตำแหน่งแต่ละพารากราฟได้อย่างลงตัว สามารถนำไปโพสต์ได้เลยทันที

เห็นไหมว่าการจ้างนักเขียนเพื่อทำบทความ SEO นั้นไม่ได้แค่ช่วยให้คุณได้บทความ SEO ที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังช่วยประหยัดงบประมาณและช่วยย่นเวลาของคุณเพื่อไปดูแลงานอย่างอื่นได้อีกเยอะเลยทีเดียว แล้วคุณล่ะอยากเปลี่ยนจากการเขียนบทความเอง มาเป็นการจ้างนักเขียนแทนหรือไม่

เหตุผลที่ต้องจ้างเขียนบทความ

จะทำ SEO ต้องรู้หลักเกณฑ์การจัดอันดับของ Google

Jimbe Allen
30/03/2020
หลักเกณฑ์การจัดอันดับของ Google 4 ข้

การจะทำให้เว็บใดเว็บหนึ่งไปอยู่บนหน้าแรกของ Google ได้นั้น ไม่ใช่เพียงแค่เป็นบทความคุณภาพหรือเป็นบทความที่มีคนอ่านเยอะ ๆ เท่านั้น ยังมีปัจจัยสำคัญอีกหลายอย่างที่ผู้ทำ SEO จะต้องทราบเพื่อนำข้อมูลเหล่านี้ไปปรับใช้กับการทำ SEO ผลิตผลงานออกมาตรงกับสเปคของ Google ให้มากที่สุด หลัก ๆ แล้วเกณฑ์การจัดอันดับบน Google จะมีอยู่ด้วยกัน 4 ข้อ รับรองได้เลยว่าไม่ยากเกินไป ใคร ๆ ก็ทำได้

หลักเกณฑ์การจัดอันดับของ Google 4 ข้อ ที่ผู้ทำ SEO ไม่รู้ไม่ได้

Mobile Friendly เพราะเดี๋ยวนี้ต้องยอมรับว่าการใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนเข้ามามีบทความในการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก จากแต่ก่อนผู้บริโภคจะได้รับข่าวสารจากทางโทรทัศน์ แต่เดี๋ยวนี้ยอดผู้ใช้สมาร์ทโฟนสูงกว่าผู้ใช้โทรทัศน์และวิทยุรวมกันเสียอีก จึงไม่แปลกเลยที่ใครก็ตามหวังจะดันเว็บไซต์ของเราให้ขึ้นไปอยู่บนหน้าแรกของ Google ให้ได้ จำเป็นต้องปรับตัวตรงนี้ด้วย โดยเว็บที่เป็น Mobile Friendly อาจจะไม่ได้หมายถึงโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงอุปกรณ์อื่น ๆ ด้วย เพราะสมัยนี้ทุกอุปกรณ์เชื่อมต่อกันได้หมดแล้ว

การเขียนบทความคุณภาพ การเขียนบทความ SEO ให้ได้คุณภาพจะต้องอาศัย Content ที่น่าสนใจในการนำเสนอ จริง ๆ แล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องเขียนบทความให้เทียบเท่ากับกวีเอกหรืออย่างไร เพียงแค่เป็นบทความที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย มีเนื้อหาสาระที่น่าสนใจเท่านั้นก็เพียงพอที่จะเป็นบทความคุณภาพได้แล้ว สังเกตได้จากเว็บดัง ๆ หลายเว็บก็ไม่ได้เขียนบทความที่แปลกพิสดารอะไรนัก ก็เป็นบทความที่อ่านง่าย แต่สำคัญที่บทความที่เขานำเสนอเป็นบทความที่ตรงใจผู้บริโภคนั่นเอง

เวลาที่ใช้บนเว็บไซต์ การจัดอันดับของ Google จะสนใจด้วยว่าพฤติกรรมของผู้อ่านมีส่วนร่วมกับเว็บไซต์ของเรามากน้อยแค่ไหน โดยเว็บที่ผู้อ่านใช้เวลาบนเว็บไซต์ของเรานาน ๆ จะได้คะแนนมากกว่าเว็บที่ผู้อ่านเข้าไปแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว คำถามคือจะทำอย่างไรให้ผู้อ่านติดตามเนื้อหาบนเว็บไซต์ของเราได้นานพอ มันจะมีเทคนิคอยู่อย่างหนึ่งเรียกว่าบทความประเภท How to หรือ Evergreen Content เป็นบทความแนะนำทีละสเต็ป ๆ ผู้อ่านจะเปิดหน้าเว็บของเราค้างเอาไว้หรือไม่ก็จะกลับมาอ่านซ้ำอย่างแน่นอน

จำนวนผู้เข้ามายังหน้าเว็บไซต์ของเรา หลักเกณฑ์ที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการจัดอันดับของ Google ก็คือจำนวนผู้เข้าชม หากเว็บอื่น ๆ ทำตามหลักเกณฑ์ข้างต้นและได้คะแนนพอ ๆ กัน ทำให้ Google จะตัดสินใจจากจำนวนผู้ชมเป็นอันดับสุดท้าย เพราะถึงแม้ Google จะให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณ แต่ก็อย่าลืมว่าจุดประสงค์ของการจัดอันดับบน Google ก็เกี่ยวข้องกับความนิยมของเว็บไซต์ด้วย หากไม่มีผู้ชมก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น Content ที่ดีนัก

เมื่อผู้ทำ SEO ได้รู้หลักเกณฑ์การจัดอันดับของ Google แล้ว ก็สามารถนำความรู้เหล่านี้ไปปรับใช้กับการสร้าง Content คุณภาพได้ อาจจะโฟกัสไปที่กลุ่มผู้บริโภคก่อนว่าเขามีพฤติกรรมอย่างไร ใช้สมาร์ทโฟนหรือคอม PC มากกว่ากัน เขาสนใจเนื้อหาในเรื่องไหน เราจะทำ Content ให้ตรงใจได้อย่างไร รวมถึงเนื้อหาในบทความนั้นจะดึงดูดให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในเว็บไซต์ได้นานแค่ไหน เชื่อว่าถ้าเราทำได้ตามหลักเกณฑ์ 3 ข้อข้างต้นแล้ว จำนวนผู้ชมเว็บไซต์ในข้อที่ 4 จะตามมาเองโดยปริยาย

จะทำ SEO ต้องรู้หลักเกณฑ์การจัดอันดับของ Google

Google algorithm สำหรับเว็บไซต์ SEO ที่คุณควรรู้จัก

Jimbe Allen
10/01/2020
Google algorithm สำหรับเว็บไซต์ SEO ที่คุณควรรู้จัก

การทำ SEO หรือ search engine optimization เป็นสิ่งที่ช่วยในการประเมินคุณภาพของแต่ละเว็บไซต์ เพื่อจัดอันดับให้เว็บไซต์ที่มีคุณภาพสูงอยู่ในอันดับต้นของหน้าต่างการสืบค้นทางช่อง Search Google เสมอ ซึ่ง algorithm ที่ Google ออกแบบเพื่อการวิเคราะห์ในแต่ละส่วนของเว็บไซต์มีอยู่หลายชนิดและมีการพัฒนามาตามลำดับ โดยมีข้อมูลของแต่ละ algorithm ที่ผู้ดูแลเว็บไซต์และเจ้าของกิจการออนไลน์ควรทำความรู้จัก ดังนี้

ผู้ดูแลเว็บไซต์ ควรรู้สิ่งเหล่านี้

1. แพนด้า

เป็นระบบการตรวจจับการละเมิดลิขสิทธิ์ เช่น การใช้บทความที่เนื้อหาคัดลอกจากเว็บไซต์อื่นโดยตรง รวมถึงการใช้ภาพที่ละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย ซึ่ง ปัจจุบันผู้ที่ผลิต บทความ SEO จะต้องตรวจสอบคำซ้ำ หรือ ทำ plagiarism check เพื่อเป็นการยืนยันว่าไม่มีปัญหาการคัดลอกลิขสิทธิ์ในเบื้องต้น จึงจะสามารถมั่นใจได้ว่าจะไม่มีปัญหากับ AI ระบบนี้

2. เพนกวิน

เพนกวินเป็นการตรวจสอบลิงก์ที่เชื่อมโยงกับเพจหรือเว็บไซต์ที่ต้องทำตามกฎของ Google คือ ไม่ใช่การซื้อลิงก์หรือการเชื่อมโยงเพจที่คุณภาพต่ำ ทำ spam เพื่อเน้นการปั่นให้ keyword ถูกสืบค้นง่าย ซึ่งหากระบบเพนกวินพบว่ามีการทำเป็นสแปม จะทำให้ถูกแบนหรือลดอันดับความน่าเชื่อถือได้

3. pirate

เป็นตัวช่วยในการหาเว็บไซต์ที่โจรกรรมข้อมูล เช่นการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ เพลง ซีรีส์ ฯลฯ หากคุณนำภาพยนตร์ที่ไม่ผ่านการขอใช้เป็นกิจจะลักษณะ มีหลักฐาน หรือละเมิดสิทธิ์ใด ๆ มาใช้ ก็จะถูกตรวจจับจาก AI ตัวนี้อย่างแน่นอน

4. ฮัมมิ่งเบิร์ด

เป็นตัวช่วยให้ผู้ใช้งาน Google ได้อ่านงานเขียนที่มีคุณภาพสูง จากเว็บไซต์อันดับต้น มีภาษาที่เป็นธรรมชาติ ไม่มีการใส่ คีย์เวิร์ด มากเกินไปจนรบกวนสายตา คุณอาจจะเคยเห็นงานแปลที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์หรือ Robot แปล ซึ่งจะมีความผิดพลาดทั้งในเนื้อหาและมีความแข็งทื่อของสำนวนภาษา ซึ่งระบบอัลกอริทึมนี้ของ Google จะตรวจสอบได้ว่าเป็นงานเขียนคุณภาพต่ำ และจะจัดให้เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาแบบนั้นมีอันดับอยู่ล่าง ๆ

5. พอสซั่ม

เป็นระบบวิเคราะห์ว่าธุรกิจใดที่ระบุตำแหน่งที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกับที่ผู้ใช้งาน Google กำลังสืบค้น ซึ่งเจ้าของเว็บไซต์ควรระบุให้ละเอียดที่สุดเพื่อประโยชน์ในการแข่งขันทางธุรกิจและความเชื่อมั่นของลูกค้า ตัวอย่างเช่น ลูกค้ากำลังมองหาร้านขายคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย หรือหารีสอร์ทติดทะเลในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ระบบจะนำเสนอเว็บไซต์ที่มีคุณภาพสูงที่สุด และมีที่ตั้งอยู่ใกล้สัมพันธ์กับตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของตัวผู้สืบค้นข้อมูลก่อน

จะเห็นได้ว่าระบบ algorithm ของ Google เป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับการแข่งขันคุณภาพในระบบ SEO ซึ่งสามารถคัดกรองคุณภาพของเว็บไซต์และช่วยสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ใช้งาน Google ซึ่งเป็น search engine อันดับต้น ๆ ของโลกมากยิ่งขึ้น เราหวังว่าบทความนี้จะทำให้ทุกท่านได้เข้าใจระบบ algorithm ของ AI และปฏิบัติตามระเบียบที่ Google แนะนำ เพื่อทำให้การทำ SEO ประสบผลสำเร็จยิ่งขึ้น

ผู้ดูแลเว็บไซต์และเจ้าของกิจการออนไลน์