เคล็ดลับการทำ SEO ให้ใช้งานคล่องบนมือถือ

Jimbe Allen
30/07/2019
เคล็ดลับการทำ SEO ให้ใช้งานคล่องบนมือถือ

พฤติกรรมติดมือถือของคนรุ่นใหม่มีผลต่อการทำตลาดออนไลน์ที่ปรับจากคอนเทนต์บนคอมพิวเตอร์มาอยู่ในมือถือแทน รูปแบบการเขียนบทความโฆษณาทั้งคอนเทนต์และสื่อต่าง ๆ ต้องปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับการใช้งานบนมือถืออย่างคล่องมือ รวมทั้ง การทำ SEO จะต้องผสมผสานวิธีการหลากหลายเพื่อให้เว็บไซต์ได้รับความนิยมจากผู้ใช้และติดอันดับหน้าแรก ๆ ของเครื่องมือค้นหา โดยล่าสุดทาง Google เพิ่มหลักเกณฑ์การพิจารณาอันดับของเว็บไซต์ในด้านรองรับการใช้บนมือถือได้ดี ทั้งอ่านง่ายและค้นหาข้อมูลสะดวก ซึ่งสอดคล้องกับการเปลี่ยนพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่นั่นเอง

ในบทความนี้จึงมีเคล็ดลับการทำคอนเทนต์ให้เหมาะกับการอ่านบนหน้าจออุปกรณ์มือถือมาฝากกันดังนี้

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าหน้าจอมือถือมีพื้นที่จำกัด การออกแบบเว็บไซต์จึงต้องคำนึงการแสดงผลบนหน้าจอ มีระบบปรับเว็บไซต์ให้พอดีกับหน้าจอโดยอัตโนมัติ ไม่เช่นนั้นบทความที่ต้องเลื่อนซ้ายและขวาให้อ่านจบแต่ละบรรทัดจะอ่านยาก สร้างความลำบาก ทำให้เว็บไซต์ไม่ได้รับความนิยม เว็บไซต์ที่รองรับการใช้งานบนมือถือมักจะมีโครงสร้างเว็บไซต์ไม่ซับซ้อน เชื่อมโยงภายในจากหน้าหลักไปหาหน้าย่อยอย่างเป็นระบบ มีแผนผังที่ชัดเจน ใช้งานสะดวก ทำให้ผู้ใช้ค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมได้ง่าย ไม่ยุ่งยากในการค้นหาว่าอะไรอยู่ตรงไหน

ในส่วนของเนื้อหาคอนเทนต์ การเขียนบทความต้องไม่ยาวเกินไป แทรกหัวข้อย่อยให้อ่านง่ายขึ้น พร้อมกับนำคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมมาใช้ในการทำ SEO จำนวนประมาณ 2-3 คำต่อบทความที่มีความยาว 500 คำ ตำแหน่งของคีย์เวิร์ดต้องเอื้อประโยชน์ต่อการค้นหาของเสิร์จเอนจิ้นด้วย โดยปกติจะวางกระจายไว้ในย่อหน้าแรก ตรงกลาง และย่อหน้าสุดท้าย รวมถึงใส่ไว้ในชื่อเรื่องด้วย คอนเทนต์ควรเป็นบทความที่เขียนขึ้นใหม่ มีความทันสมัย และมีประโยชน์ สร้างแรงจูงใจให้ผู้อ่านอยากแชร์แบ่งปันให้คนอื่น นอกจากนั้นการใส่กราฟิกละรูปภาพต้องเป็นไฟล์ขนาดพอเหมาะ ไม่เล็กเกินไปจนต้องซูมเข้าไปดูรายละเอียด ไม่ใหญ่เกินไปจนเกิดปัญหาโหลดช้า

การใส่คลิปวิดีโอสั้น ๆ ก็เช่นเดียวกัน ความยาวไม่เกิน 1 นาทีกำลังดี เหมาะสำหรับการใช้งานมือถือ ยิ่งมีคนคลิกเข้าชมมากเท่าไรก็ยิ่งมีความน่าเชื่อถือ คลิปวิดีโอเป็นสื่อการตลาดออนไลน์ที่เหมาะกับ Facebook จึงเหมาะต่อการสร้างลิงก์เชื่อมโยงวิดีโอกับลิงก์เข้าชมเว็บไซต์เพื่ออ่านเนื้อหาคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้สนใจเข้าอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในเว็บไซต์ของเรา รวมถึงเข้าสำรวจสินค้าและบริการของแบรนด์เพิ่มเติม ทำให้มีโอกาสเพิ่มยอดขายมากขึ้นและทำ SEO ให้เว็บทะยานขึ้นอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหาด้วยเคล็ดลับการทำคอนเทนต์ให้เหมาะกับการอ่าน

การปรับเว็บไซต์ให้ตรงกับเงื่อนไขของ Google เป็นเรื่องสำคัญเพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิด ถูกมองว่าเป็นสแปมแล้วถูกลงโทษลดอันดับลงไป ขณะเดียวกันผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ก็ได้รับประสบการณ์ดี ๆ หาสินค้าและบริการที่ตรงใจได้ง่ายไม่เสียเวลา หากอันดับไม่ขยับขึ้น อาจเป็นเพราะคู่แข่งทำเว็บไซต์ได้ดีกว่า ควรสำรวจข้อมูลของคู่แข่งในธุรกิจประเภทเดียวกันเสมอ ดูว่ามีการออกแบบโครงสร้างอย่างไร เขียนคอนเทนต์อย่างไร จึงสร้างความประทับใจให้ลูกค้า เพื่อนำมาปรับแต่งเว็บไซต์ของเรา โดยเฉพาะเรื่องการใช้งานที่เหมาะกับมือถือซึ่งมีผลให้เข้าถึงลูกค้าในวงกว้างมากขึ้น

กลยุทธ์การใช้ SEO เอาชนะแบรนด์ใหญ่ แม้งบประมาณจำกัด

Jimbe Allen
09/07/2019
กลยุทธ์การใช้ SEO เอาชนะแบรนด์ใหญ่ แม้งบประมาณจำกัด

บริษัทขนาดเล็กจำนวนมากไม่กล้าแข่งขันกับแบรนด์ใหญ่ ด้วยเชื่อว่า Google นิยมจัดอันดับแบรนด์ดังและธุรกิจขนาดใหญ่ที่ทุ่มงบประมาณมหาศาลในการทำ SEO จึงพากันถอดใจกันไปเสียก่อน ความจริงแล้วการแข่งขันกับแบรนด์ใหญ่แม้งบประมาณเพียงเล็กน้อยก็เป็นไปได้ หากรู้จักการทำตลาดอย่างสร้างสรรค์ดึงดูดลูกค้าให้สนใจสินค้าหรือบริการ ในฐานะธุรกิจขนาดเล็กจะสร้างเนื้อหาคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ ทำให้ลูกค้ามีความเข้าใจธุรกิจง่ายกว่าบริษัทขนาดใหญ่

หากใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบดังกล่าวเพิ่มประสิทธิในการค้นหาเพื่อเพิ่มจำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ ส่งผลให้ติดอันดับ SEO ในลำดับต้น ๆ ได้ ดังต่อไปนี้

1.วิจัยคำหลัก

บริษัทขนาดใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับคีย์เวิร์ดปริมาณมากซึ่งใช้งบประมาณสูง บริษัทขนาดเล็กมีเงินทุนน้อย จำเป็นต้องลงลึกโดยเลือกวลีที่มีความหมายเฉพาะเจาะจง เช่น

-สถานที่น่าเที่ยวที่สุด ช่วงเดือนเมษายน
-กิจกรรม ต้องพาเด็กไปสัมผัสที่พัทยา
-ร้านอาหารที่สัตว์เลี้ยงเข้าได้ ในกรุงเทพฯ
-โรงแรมหรูสำหรับครอบครัว ในเชียงใหม่

จากตัวอย่างข้างต้น ลูกค้ามีโอกาสค้นเจอวลีเฉพาะเจาะจงว่า “ร้านอาหารที่สัตว์เลี้ยงเข้าได้ ในกรุงเทพฯ” โดยไม่ต้องแยกจัดอันดับคำหลัก 2 คำ คือ “ร้านอาหารในกรุงเทพฯ” และ “สัตว์เลี้ยงเข้าได้” การทำวิจัยคำหลักที่ดีจะนำทางผู้ชมค้นพบสิ่งที่ต้องการรวดเร็ว และส่งผลให้ธุรกิจขนาดเล็กมีศักยภาพการแข่งขันสูงในคราวเดียวกัน

2. เนื้อหาเฉพาะด้าน

นอกเหนือจากวิจัยคำหลักแล้ว ต้องสร้างเนื้อหาเฉพาะด้าน เขียนข้อมูลเชิงลึกเรียบเรียงโครงสร้างเนื้อหาที่ดี น่าอ่าน พร้อมทั้งตั้งชื่อบทความน่าสนใจ เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสเป็นลูกค้าอย่างตรงไปตรงมา บทความที่ดียังช่วยให้อยู่อันดับที่ดีใน Google ด้วย ผู้เขียนคอนเทนต์จึงต้องมีความเชี่ยวชาญด้านการทำ SEO อย่างแท้จริง

3.การตลาดเชิงสร้างสรรค์

บริษัทขนาดใหญ่มีข้อจำกัดในการทำงาน การจะริเริ่มสิ่งใหม่ต้องผ่านการตัดสินใจหลายแผนก ผู้บริหารไม่ต้องการแบกรับความเสี่ยง ผู้ถือหุ้นก็ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ดีทุกครั้ง แตกต่างจากธุรกิจขนาดเล็กที่มักจะมีความคิดสร้างสรรค์ กล้าก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซนลองทำสิ่งใหม่ ๆ โดยไม่กลัวว่าจะไม่สำเร็จ บางครั้งสิ่งที่ทำอาจไม่ได้ผล แต่จะเริ่มลองวิธีถัดไปอย่างรวดเร็วและอิสระ ถือเป็นความได้เปรียบอย่างหนึ่งและสร้างธุรกิจมีชื่อเสียงดึงดูดผู้ชมติดตามจำนวนมาก ส่งผลให้เว็บขึ้นหน้าแรกของ Google ได้เหมือนกัน

4.เติบโตแบบก้าวกระโดด

ธุรกิจขนาดใหญ่เคลื่อนตัวช้า ส่วนธุรกิจขนาดเล็กตัดสินใจง่าย สามารถตอบสนองลูกค้ารวดเร็วโดนใจกลุ่มเป้าหมายในทันที ธุรกิจขนาดเล็กมีแนวโน้มเติบโตรวดเร็วและกำลังก้าวขึ้นไปแข่งขันกับแบรนด์ใหญ่ที่มีทุนสูงในการอัดโฆษณาสร้างกระแสนิยมในกลุ่มผู้บริโภค กิจการขนาดเล็กมีทางเลือกที่ฉลาดด้วยการนำเสนอบทความที่น่าสนใจโพสต์อย่างสม่ำเสมอ เป็นเทคนิคการทำตลาดที่ใช้งบประมาณน้อยแต่ดึงดูดความสนใจลูกค้าอย่างมาก ขณะเดียวกันควรอาศัยความคล่องตัวให้เป็นข้อได้เปรียบในการทำตลาดดิจิทัลแข่งขันกับแบรนด์ใหญ่ ๆ

ผู้ประกอบการ SME สามารถนำเทคนิค SEO พื้นฐานไปใช้เสริมจุดแข็งและแย่งความสนใจจากคู่แข่งโดยไม่จำเป็นต้องลงทุนมากมายเกินตัว

การทำตลาดอย่างสร้างสรรค์ดึงดูดลูกค้าให้สนใจ

SEO สำคัญกับการขายสินค้าออนไลน์อย่างไร

SEO สำคัญกับการขายสินค้าออนไลน์อย่างไร

การทำเว็บไซต์ออนไลน์เป็นช่องทางการค้าขายที่สำคัญของคนรุ่นใหม่ เนื่องจากสามารถที่เชื่อมโยงกับลูกค้าได้ทั่วโลกในเวลาอันรวดเร็ว ที่สำคัญ คือมีต้นทุนในการทำธุรกิจที่ต่ำเมื่อเทียบกับการต้องเปิดหน้าร้าน โดยทั่วไป

การที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่รู้จักได้ง่ายผ่านการสืบค้นหาด้วย Google ก็คือ การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เพื่อให้มีการจัดอันดับคุณภาพของเว็บไซต์อยู่ในลำดับต้น ๆ ของหน้าจอการสืบค้น การทำ SEO จึงเป็นสิ่งที่นักธุรกิจออนไลน์ต้องให้ความสำคัญและศึกษากลยุทธ์การทำ SEO ตั้งแต่เนิ่น ๆ

ประเภทของ SEO แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่

On Page SEO

หมายถึงการพัฒนา ตัวโครงสร้างให้เว็บไซต์ใช้งานง่ายทั้งบนมือถือและคอมพิวเตอร์ เนื่องจากปัจจุบันผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตส่วนใหญ่พกพามือถือเพื่อสืบค้นข้อมูลได้อย่างสะดวกตลอดวัน นอกจากนี้ ตัวเว็บไซต์ต้องมีความสวยงาม สีสันต้องสบายตา แต่ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างจุดเด่นด้วยเนื้อหาที่เป็นเอกลักษณ์และใส่ keyword ที่เหมาะสม ซึ่งวิธีการเลือก Keyword ต้องสัมพันธ์กับการสืบค้นหาข้อมูลของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายด้วย เช่น คุณทำเว็บไซต์ขายเครื่องแยกกากกาแฟ โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย คือร้านขายกาแฟและผู้ที่ชื่นชอบการชงกาแฟรับประทานเอง ก็ควรสร้างบทความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับประโยชน์ของกาแฟ รวมถึงความสะดวกของการใช้เครื่องแยกกากกาแฟ ทั้งต้องทำคลิปสาธิตการใช้เครื่องแยกกากกาแฟของคุณว่าใช้งานง่ายและมีความแตกต่างจากสินค้ายี่ห้ออื่นอย่างไร

การมีทีมงานผลิตทั้งเนื้อหาและมีสไตล์การถ่ายทำคลิปที่เป็นเอกลักษณ์ จะสร้างความจดจำให้แก่แบรนด์ของคุณได้ประเภทของ SEO แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่

Off-Page SEO

เป็นการเชื่อมโยงลิงค์จากภายนอกเข้ามาสู่เว็บไซต์ทางธุรกิจของคุณ เช่น การที่คุณไปตอบคำถามที่มีผู้สงสัยเกี่ยวกับข้อดีข้อเสียของการดื่มกาแฟ ประโยชน์ของกากกาแฟ หรือแนะนำเครื่องแยกกากกาแฟในห้องแชทออนไลน์หรือกลุ่มในเฟซบุ๊กที่รวมผู้ชื่นชอบการดื่มกาแฟ

การตอบคำถามในสังคมออนไลน์โดยมีข้อมูลที่ถูกต้อง มีความน่าเชื่อถือ สามารถเชื่อมโยงกับลิ้งค์ต่างประเทศที่เป็นงานวิจัยหรือผลสถิติ ฯลฯ คู่กับการแนบ Link หรือคลิปสาธิตของเว็บไซต์ธุรกิจคุณ เพื่อให้ผู้ที่สนใจเข้ามาหาความรู้เพิ่มเติมหรือสอบถามคุณโดยตรงได้ เป็นเทคนิคที่ดีที่ทำให้คุณได้ขยายกลุ่มลูกค้าเป็นฐานกว้างยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาผ่าน Google, Bing หรือ Facebook เลย

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO มีเทคนิคที่หลากหลาย ซึ่งผู้ที่สนใจขายสินค้าออนไลน์ควรต้องทำการศึกษาและนำไปปรับใช้กับการขายสินค้าของตัวเอง จะทำให้มีเปอร์เซ็นต์การประสบความสำเร็จในธุรกิจออนไลน์ได้ดียิ่งขึ้น ทั้งด้านชื่อเสียงและมียอดการจำหน่ายสินค้าสม่ำเสมอตลอดปี

การว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญ SEO ที่มีประสบการณ์มีประโยชน์อย่างไร

Jimbe Allen
03/06/2019
การว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญ SEO ที่มีประสบการณ์มีประโยชน์อย่างไร

งานและหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญ SEO คือการวางกลยุทธ์ตลาดโดยใช้คีย์เวิร์ดหลักและงานเขียนบทความที่เชื่อมโยงเว็บธุรกิจกับเป้าหมายหลักเพื่อให้ลูกค้ามองเห็นสินค้าและบริการเป็นอันดับแรกๆ การทำ SEO แบบพื้นฐานสร้างทางลัดให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง ทุกวันนี้โลกธุรกิจมีการแข่งขันสูง การทำให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกจึงไม่ใช่เรื่องง่าย หากเจ้าของธุรกิจไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง การจ้างนักการตลาดดิจิทัลมาช่วยทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จถือการลงทุนที่คุ้มค่า

ผู้เชี่ยวชาญรู้ว่าจะทำอย่างไร เริ่มต้นจากประเมินเว็บไซต์และปัจจัยทั้งหมดที่มีผลต่อการจัดอันดับ รวมถึงตำแหน่งของผลลัพธ์ในปัจจุบัน วิเคราะห์เจาะลึกมองเห็นปัญหาที่จะส่งผลกระทบต่อการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาในการโหลดหน้าเว็บ การใช้คีย์เวิร์ดไปยังหน้าเว็บ ตลอดจนโครงสร้างเว็บไซต์ที่มีปัญหา สิ่งที่พลาดไม่ได้คือตรวจสอบคู่แข่งทางธุรกิจด้วยว่าใช้คีย์เวิร์ดหลักที่คล้ายกันและมีกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน ดูว่าเว็บนั้นทำอย่างไรจึงเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่า จากนั้นจึงนำข้อมูลทั้งหมดมาจัดลำดับสิ่งสำคัญที่จะปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อให้ผู้ใช้งานพึงพอใจและได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น รวมถึงทำให้ Google จัดลำดับเว็บไซต์ในอยู่ในอันดับต้น ๆ

เนื่องจาก การทำ SEO เป็นกลยุทธ์ระยะยาว กว่าจะเห็นว่ากลยุทธ์ SEO เริ่มแสดงผลต้องใช้เวลาอย่างน้อย 4-6 เดือนจึงเห็นว่าผลลัพธ์นั้นเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ที่ดำเนินอยู่ นั่นคือเหตุผลที่ควรจ้างผู้เชี่ยวชาญ SEO เข้ามาช่วยปรับปรุงเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง ทำการสร้างลิงก์ใหม่กับเว็บไซต์เป็นประจำ พร้อมกับประเมินว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลอย่างไร การอัปเดตข้อมูลเป็นประจำเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยเหลือโดยใช้กลยุทธ์การตลาดอื่น ๆ ที่มีประสิทธิภาพร่วมด้วยเพื่อเพิ่มผลลัพธ์ของการทำ SEO ให้ดีที่สุด

ผู้เชี่ยวชาญ SEO จะตรวจสอบและวิเคราะห์ผลลัพธ์เป็นประจำเพื่อให้มั่นใจได้ว่า เว็บไซต์ของลูกค้าจะได้รับประโยชน์และสามารถปรับปรุงกลยุทธ์ได้อย่างต่อเนื่อง มีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับ SEO ทางออนไลน์ที่อาจไม่ถูกต้องทั้งหมด มืออาชีพจะแนะแนวทางได้ว่ากลยุทธ์ทางการตลาดแบบไหนสำคัญ และสิ่งใดที่ควรระวัง แม้ว่าคำยอดนิยมอาจดึงดูดผู้เข้าชมนับพันทุกเดือน แต่ถ้าไม่ใช่ลูกค้าที่ต้องการซื้อจริงๆ คงไม่เกิดประโยชน์เท่าไร ใช้คำยาวๆ ที่เฉพาะเจาะจงจะเห็นผลลัพธ์เชิงบวก เข้าตาลูกค้าที่เต็มใจซื้อ ทำให้ประหยัดเวลาและงบประมาณค่าใช้จ่าย

งานและหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญ SEO

คนทำธุรกิจต้องการให้เว็บไซต์ค้นหาได้ง่าย การลงทุนจ้างมืออาชีพมาทำ SEO ให้จึงเพิ่มความสะดวกสบาย เพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ได้ง่ายและรวดเร็ว ทั้งยังเลื่อนอันดับการค้นหาให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ยิ่งเข้าตาลูกค้ามากเท่าไรก็มีโอกาสขายได้มากขึ้นเท่านั้น ควรค้นหามืออาชีพด้าน SEO ที่มีความน่าเชื่อถือ ไม่ใช่แค่ดึงคนเข้าชมเว็บจำนวนมากทุกวัน แต่รู้วิธีทำ SEO ให้ลูกค้าเป้าหมายเข้ามาเยี่ยมชมและตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น นั่นคือวัตถุประสงค์ที่แท้จริง

สิ่งที่นักธุรกิจออนไลน์ควรรู้เกี่ยวกับการทำ SEO

Jimbe Allen
13/04/2019
สิ่งที่นักธุรกิจออนไลน์ควรรู้เกี่ยวกับการทำ SEO

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นวิธีการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ให้ขึ้นสู่อันดับต้นของหน้าต่างการค้นหาของ Search Engine ต่าง ๆ ซึ่งมีสิ่งที่นักธุรกิจออนไลน์ควรรู้เกี่ยวกับการทำ SEO ที่เราได้รวบรวมมาดังนี้

1. การทำ SEO ไม่มีสูตรที่เป็นหลักเกณฑ์ตายตัว ต้องหมั่นปรับปรุงให้เหมาะกับสินค้าหรือบริการ เช่น ร้านขายดอกไม้ออนไลน์ ควรเน้นที่การให้ความรู้และการบริการที่ประทับใจ ธุรกิจการโรงแรมควรเน้นที่ความสะดวกรวดเร็วในการติดต่อและส่วนลดหรือโปรโมชั่นที่ดึงดูดใจ เป็นต้น

2. การทำ SEO ต้องใช้เวลาที่ต่างกันไปตามชนิดของธุรกิจ จึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของอันดับการสืบค้น หากเป็นสินค้าแนวร้านค้าออนไลน์ทั่วไปใช้เวลา 3 เดือน แต่ธุรกิจโรงแรม ต้องใช้เวลานานเป็น 1 ปี เพราะว่าขึ้นอยู่กับฤดูกาลของการท่องเที่ยว เป็นต้น

3. ใน Search Engine มีระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะ หรือ AI Algorithm ที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพของบทความในเว็บไซต์ หากตรวจเจอว่ามีการคัดลอกเนื้อหามาจากเว็บไซต์อื่น จะทำให้ผลการจัดอันดับตกลง ดังนั้น การทำบทความต่าง ๆ จึงควรเขียนใหม่ โดยใช้ภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อลดโอกาสมีเนื้อหาซ้ำซ้อนกัน จนทำให้การทำ SEO ไม่ได้ผลเท่าที่ควร

4. เว็บไซต์ SEO ควรมีการเลือกฟอนต์ตัวอักษร สี และภาพประกอบ ที่เหมาะสม ที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าใจถึงสินค้าและบริการได้ดีขึ้น เช่น สีเขียว ที่มีความหมายถึงความเป็นธรรมชาติเหมาะกับสินค้าพวกวิตามิน อาหารเสริม สีน้ำเงิน ให้ความรู้สึกเป็นทางการเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการให้มีความน่าเชื่อถือ เป็นต้น

5. การทำเว็บไซต์ SEO ที่ให้ผลดีในระยะยาว ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพราะระบบคอมพิวเตอร์ของ Search Engine มีการรวมข้อมูลใน Database เพื่อจัดอันดับ Website ต่าง ๆ ตลอดเวลา การอัปเดตข้อมูลเป็นประจำนอกจากส่งผลต่ออันดับแล้ว ยังทำให้เพิ่มความมั่นใจของลูกค้าในการมาซื้อสินค้าและบริการจากเว็บไซต์ของคุณด้วย

6. ไม่ควรทำการยัดเยียด Keyword ลงไปใน Meta Tag หรือในเนื้อหาเพื่อหวังว่าอันดับ SEO จะดีขึ้น เพราะระบบของ Search Engine สามารถตรวจจับความผิดปกติของเนื้อหาในบทความได้ สิ่งที่ควรทำ คือ การกระจายคีย์เวิร์ดสำคัญ เพียง 1 – 2 คำ ต่อหนึ่งบทความ โดยให้มีความยาว 300 คำ จนถึง 1000 คำ จะทำให้มีอันดับการสืบค้นที่ดีกว่าบทความที่ยาวจากการใส่คีย์เวิร์ดซ้ำมากเกินไป

จะเห็นได้ว่า สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการทำ SEO ในปี 2019 ที่ยกตัวอย่างมาทั้งหกข้อ เป็นสิ่งสำคัญที่นักธุรกิจค้าขายออนไลน์ควรรู้ เพื่อให้ตัดสินใจเลือกจ้างทีมงานหรือบริษัททำ SEO อย่างถูกต้อง โดยพิจารณาจากประสบการณ์ ความคุ้มค่าและความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายในการทำ SEO ที่มีคุณภาพในระยะยาวด้วย

สิ่งที่นักธุรกิจออนไลน์ควรรู้กับการทำ SEO

เทคนิคการเขียนบทความ SEO ที่น่าสนใจและทำให้เว็บไซต์อันดับดีขึ้น

Jimbe Allen
12/03/2019
เทคนิคการเขียนบทความ SEO ที่น่าสนใจและทำให้เว็บไซต์อันดับดีขึ้น

การเขียนบทความที่มีคุณภาพตามแนว SEO หรือ search engine optimization เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เว็บไซต์ถูกจัดอันดับได้ดี และทำให้มีผู้อ่านถูกใจและแชร์บอกต่อ ทำให้ในระยะยาวสามารถเพิ่มยอดขายของสินค้าและบริการได้มากขึ้นด้วย

ซึ่งเทคนิคการเขียน Content หรือบทความ SEO ที่ดี มีดังนี้

1. keyword ต้องกระจายทั่วไป

ในบทความควรมี keyword อยู่ในส่วนบทนำ ส่วนกลางของเนื้อหาและสรุป อย่างน้อยที่ละ 1 แห่ง โดยเลือกคำที่พิจารณาแล้วว่าผู้ที่ต้องการสินค้าและบริการกลุ่มเป้าหมาย จะใช้คำเหล่านี้ในการค้นหาใน search engine

นอกจากนี้ ควรมี keyword ในจุดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบทความ เช่น ชื่อ title บทความ การตั้งชื่อ URL (URL address) และ Description (เป็นการบรรยายบทความแบบสั้น ๆ ที่จะทำให้ผู้อ่านได้ทราบว่าหากคลิกเข้ามาแล้วจะได้อ่านบทความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องใดบ้าง)

2. การตั้งชื่อภาพ และภาษาที่ใช้

การตั้งชื่อภาพหรือคลิปสื่อมัลติมีเดียต่าง ๆ ควรเช็คให้เรียบร้อยก่อนอัพโหลด ว่ามี keyword ที่เหมาะสม และควรจะใช้ keyword ที่เป็นภาษาอังกฤษเนื่องจากว่าจะทำให้ไม่มีปัญหาการสะกดผิดทั้งวรรณยุกต์ สระ พยัญชนะ ซึ่งจะมีผลเสีย คือ ทำให้ไม่สามารถเชื่อมโยงรูปภาพหรือเปิดลิ้งค์คลิปต่าง ๆ

นอกจากนี้ อาจใส่รายละเอียด การบรรยายลักษณะภาพลงไปด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับระบบอัลกอริทึ่มของ search engine ในอนาคตที่จะวิเคราะห์คุณภาพของภาพประกอบบทความด้วย

3. ไม่ยัดเยียดยัด keyword

keyword ต้องมีการกระจายตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ยัดเยียดผู้อ่านมากเกินไป เพราะจะทำให้ถูก search engine (Google หรือ Yahoo) วิเคราะห์ว่าเป็นสเป็นสแปมหรือเป็นบทความคุณภาพ ทั้งนี้มีผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า keyword density หรือค่าความหนาแน่นของ keyword ในแต่ละบทความ ไม่ควรจะเกิน 2.5 เปอร์เซ็นต์ จึงจะเหมาะสมที่สุด

4. ความยาวและคุณภาพที่ดี

การเขียนบทความที่มีคุณภาพนั้น ผู้เขียนควรให้มีความยาวที่เหมาะสม คือ 300-500 คำ เพราะผู้อ่านจะใช้เวลาอ่านไม่มากเกินไป เช่น การเขียนบทความในเฟสบุ้คก็ควรมีเนื้อหาสั้น ๆ กระชับ ได้ใจความ

ทั้งนี้ ในบทความควรมีเนื้อหาความรู้ที่สดใหม่ อ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่มีการอัพเดทเสมอ เพื่อทำให้บทความมีความน่าสนใจยิ่งขึ้น ผู้เขียนบทความจึงต้องใส่ใจในคุณภาพและพัฒนาตัวเอง หมั่นศึกษาเพิ่มเติมความรู้และหาภาพหรือสื่อประกอบที่สวยงาม เพื่อให้งานเขียนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

การเขียนบทความ SEO ที่น่าสนใจด้วยเทคนิคที่กล่าวมาทั้งสี่ข้อ จะช่วยให้เว็บไซต์สามารถถูกจัดอันดับด้วย search engine ไม่ว่าจะเป็น Yahoo หรือ Google ได้อันดับสูง ซึ่งจะทำให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในการขายสินค้าและบริการได้ดีขึ้น ทั้งด้านยอดการขายและจำนวนลูกค้าและผู้ติดตามที่เพิ่มขึ้นในระยะยาว

เทคนิคการเขียนบทความ SEO ที่น่าสนใจและทำให้เว็บไซต์

การทำ topic cluster กับบทความ SEO มีอะไรดี

Jimbe Allen
27/01/2019
การทำ topic cluster กับบทความ SEO มีอะไรดี

การทำบทความ SEO ที่มีคุณภาพ เรียกได้ว่ามีความสำคัญต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์คุณ ทำให้เพิ่มยอดขายและจำนวนผู้ติดตามได้อย่างชัดเจน ซึ่งในปัจจุบันมีการประยุกต์เรื่อง topic cluster เข้ากับการสร้างสรรค์งานเขียนบทความ SEO ด้วย จะมีข้อดีอย่างไรบ้างมาดูกัน

การทำ topic cluster กับบทความ SEO มีอะไร

อะไร คือ บทความ SEO

เป็นเนื้อหาที่มีสาระประโยชน์แก่ผู้อ่าน โดยมีรากฐานจากคีย์เวิร์ด SEO ที่ผ่านการวิจัยมาแล้วว่าเป็นคำที่มีคนสนใจหาข้อมูลในแง่ต่าง ๆ ผ่าน search engine ชื่อดังอย่าง google ทำให้บทความที่เขียนออกมามีโอกาสถูกเปิดอ่าน และตามมาด้วยโอกาสการขายสินค้าและบริการของคุณที่ดีมากกว่าเดิม

อะไรคือการทำ topic cluster

เป็นการสร้างกลุ่มของเนื้อหาบทความที่มีคีย์เวิร์ด SEO หลักเดียวกัน มีสาระที่เกี่ยวโยง หรือส่งเสริมกัน เพื่อสร้างความง่ายในการเข้าถึงบทความหมวดเดียวกัน เป็นการเพิ่มยอด traffic และจำนวนผู้ซื้อสินค้าและบริการของแบรนด์คุณที่ดียิ่งขึ้น

Topic cluster ประกอบด้วยอะไรบ้าง

Topic cluster ในปัจจุบันแบ่งย่อยเป็นสองกลุ่ม คือ Pillar content ที่เป็นตัวเนื้อหาหลัก หรือตัวบทความแม่ กับส่วนที่เป็น cluster content ที่มองว่าเป็นลูกข่าย หรือเนื้อหารองที่สนับสนุนความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาหลักนั้น

เช่น คุณจะขายคอร์สการถ่ายรูปออนไลน์ ส่วนที่เป็น Pillar content คือ การอธิบายว่าคอร์สของคุณมีกี่ level ขั้นพื้นฐาน สำหรับบุคคลทั่วไป ขั้นกลาง สำหรับคนที่เป็นช่างภาพมือสมัครเล่น และขั้น advance สำหรับการต่อยอดฝีมือขั้นเทพ เป็นต้น ซึ่งในท้ายของบทความตัวแม่นี้ควรทำเป็นแบบฟอร์ม สำหรับให้ผู้ที่สนใจกรอกข้อมูลโดยง่าย อาจเป็นการทิ้งเบอร์ และอีเมล์ไว้ เพื่อให้พนักงานของคุณติดต่อกลับในวันทำการถัดไปก็ได้

ส่วนที่เป็น cluster content ได้แก่ การมีหัวข้อว่า ถ่ายภาพคนรักอย่างไร ให้ดูสวย ถ่ายภาพสร้างรายได้เสริมได้อย่างไร ในปี 2019 เป็นต้น เพื่อเป็นการให้ข้อมูลจริง ที่เปิดโลกทัศน์ หรือจูงใจให้ผู้ชมเว็บไซต์สนใจสมัครคอร์สเรียนถ่ายรูปออนไลน์ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการตัดสินใจ

ข้อดีของการทำบทความ SEO ให้เข้าเป็น topic cluster

การทำ topic cluster มีข้อดีต่อเว็บไซต์ของคุณ ดังนี้

1. มีจำนวนการสืบค้นระหว่าง content มากขึ้น เป็นการเพิ่ม traffic ผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่ชัดเจน และส่งผลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์ใน search engine ด้วย

2. ช่วยลดการดูเว็บไซต์แล้วปิดตั้งแต่หน้าแรก หรือ ลด bounce rate

3. เป็นการทำให้บทความทั้งหมวดถูกจัดอันดับได้ดีขึ้นเป็น set


การทำ topic cluster กับบทความ SEO

การทำ topic cluster จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการสร้างจำนวนผู้เข้าชม และยอดขายที่สูงขึ้นอย่างชัดเจนให้กับเว็บไซต์คุณได้ด้วยการจัดลำดับการสืบค้นที่ดีขึ้นจนคุณก็สามารถสังเกตได้ในเวลาอันรวดเร็ว

5 ปัจจัยสำคัญหากต้องการทำอันดับให้ติดหน้าแรก (SEO)

Jimbe Allen
26/12/2018
5 ปัจจัยสำคัญหากต้องการทำอันดับให้ติดหน้าแรก (SEO)

ปัจจุบันการทำอันดับ (SEO) ในหน้าการค้นหา Google.co.th ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือใหญ่ต่างก็พากันให้ความสำคัญมากขึ้นเพื่อมุ่งเน้นหาลูกค้าจากโลกอินเตอร์เน็ตโดยการใช้เว็บไซต์หรือแพลทฟอร์มอื่น ๆ เช่น มาร์เก็ตเพลซ ก็มีให้เลือกใช้หลายเจ้า ซึ่งแนวโน้มนี้ก็ไม่ต่างกับจำนวนของผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตที่มีมากขึ้นในทุก ๆ ปีเช่นเดียวกัน การทำอันดับให้ผู้คนเห็นสินค้าหรือบริการของธุรกิจจึงมีความสำคัญและไม่ควรมองข้ามเป็นอันขาด หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังดันกิจการของคุณให้อยู่ในหน้าแรกของ Google ควรศึกษา 5 ปัจจัยนี้ให้ดี

5 ปัจจัยสำคัญหากต้องการทำอันดับให้ติดหน้าแรก SEO

1. การสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ – การทำเนื้อหาหรือคอนเทนต์ให้น่าสนใจเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในยุคอินเตอร์เน็ต เนื่องจากพฤติกรรมของผู้คนส่วนใหญ่เปลี่ยนจากการนั่งดูทีวีหรืออ่านหนังสือมาเป็นการอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์และมาสู่หน้าจอมือถือแทบจะตลอดทั้งวัน การทำเนื้อหาเว็บไซต์หรือเขียนข้อมูลสินค้าของคุณให้มีความน่าสนใจจึงเป็นเรื่องที่ต้องทำ

2. การทำ Onpage และ Offpage – เมื่อทำเนื้อหาให้น่าสนใจแล้วสิ่งต่อมาที่ต้องคู่กันเพื่อที่จะให้ Google รู้จักสินค้าหรือบริการเพื่อดันอันดับให้อยู่หน้าแรกก็คือการปรับ Onpage และ Offpage ยกตัวอย่างเปรียบเทียบง่าย ๆ Onpage คือ หน้าร้านของคุณ ส่วน Offpage ก็คือป้ายโฆษณาของคุณที่ไปติดตามที่ต่าง ๆ แต่ในทางปฏิบัติแล้วการปรับจะมีเงื่อนไขอีกหลายประการซึ่งสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ https://support.google.com/webmasters/answer/7451184

3. ค้นหา Keywords ที่ต้องใช้ – เมื่อคุณมีสินค้าหรือบริการที่ชัดเจนแล้วต้องค้นหา Keywords ที่จะต้องใช้ทำอันดับ เช่น หากคุณขายรองเท้าผู้ชาย คุณก็ควรจะทำอันดับกับคำว่า “รองเท้า” แต่แน่นอนว่าคุณต้องดูคู่แข่งด้วย ถ้าคำว่า รองเท้า นั้นมีคู่แข่งเยอะ คุณลองใช้คำที่ยาวขึ้นหรือศัพท์เทคนิคเรียกกันว่า “Longtail Keywords” ยกตัวอย่างเช่น รองเท้าเกาหลีสำหรับผู้ชาย เพียงเท่านั้นคู่แข่งของคุณก็จะลดลงกว่าเดิมและยังตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอีกด้วย

4. กระตุ้นความเคลื่อนไหวของเว็บไซต์ – คงไม่มีใครชอบแน่หากเดินเข้ามาในร้านค้าแล้วไม่มีพนักงานต้อนรับหรือไม่มีใครยืนอยู่ในร้านเลย บรรยากาศเงียบเหงา เว็บไซต์ก็เช่นเดียวกันหากคุณไม่สร้างความเคลื่อนไหวด้วยการอัพคอนเทนต์ใหม่ ๆ ลงไป สร้างโพล์โต้ตอบกับลูกค้าและคนทั่วไป การเล่นเกมเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้เข้าชมเว็บไซต์ ในที่สุดเว็บไซต์ของคุณก็จะไม่อยู่ในอันดับที่ต้องการเพราะ Google ชอบเว็บไซต์ที่มีการเคลื่อนไหวและต้องเป็นการเคลื่อนไหวที่มีคุณภาพด้วย

5. Mobile Friendly – สิ่งนี้เป็นส่วนที่ขาดไม่ได้เช่นกันคือการปรับปรุงให้เว็บไซต์ของคุณเป็นมิตรกับเครื่องมือสื่อสารทุกรูปแบบ หมายถึงหากคุณมีเว็บไซต์แล้วไม่ว่าลูกค้าหรือคนค้นหาเจอเว็บไซต์ของคุณโดยการใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ, มือถือ, แท็บเล็ต, โน็ตบุ๊คหรืออะไรก็ตาม เว็บไซต์ของคุณควรจะแสดงผลให้ดูสมดุลกับอุปกรณ์ ไม่ล้นไปทางไหนทางหนึ่ง ไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป

5 ปัจจัยสำคัญหากต้องการทำอันดับให้ติดหน้าแรก

ทั้ง 5 ปัจจัยนี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อันดับอยู่ในหน้าแรกได้ง่ายขึ้นและมีผลทางตรงกับผู้เข้าชมหรือกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสั่งซื้ออยู่แล้ว เข้ามาพิจารณาสินค้าและบริการของคุณในเว็บไซต์ ช่วยให้ปิดการขายได้ง่ายขึ้น

สิ่งที่คุณจะพลาด หากไม่ทำเว็บไซต์ SEO

สิ่งที่คุณจะพลาด หากไม่ทำเว็บไซต์ SEO

สิ่งที่คุณจะพลาด หากไม่ทำเว็บไซต์ SEO

SEO คือสิ่งสำคัญหากคุณอยากเด่นอยู่ในตลาด

ต้องยอมรับความจริงว่าโลกปัจจุบันนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว หากสังเกตดูเด็กยุคใหม่ พวกเขาจะสามารถใช้เครื่องมือเครื่องไม้ที่ทันสมัยได้ตั้งแต่อายุยังเล็ก ซึ่งเมื่อคนรุ่นเก่ามองลงไปแล้วเปรียบเทียบกับยุคของตนเอง คุณจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์ใจนี้ สิ่งที่ต้องทำให้ได้คือการยอมรับและก้าวไปกับโลก ดังนั้น หากคุณอยากจะทำธุรกิจแล้วไม่พลาด อย่าลืมที่จะก้าวตามโลกให้ทัน เว็บไซต์และการกระตุ้นการเคลื่อนไหวของเว็บด้วยการทำ SEO จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จได้อีกทางหนึ่ง แน่นอนว่ามันมีผลกระทบอย่างสูงเลยทีเดียว

สิ่งที่คุณจะพลาด หากไม่ทำเว็บไซต์ SEO

ปัจจุบันต้องยอมรับว่า การทำเว็บไซต์ให้เข้าสู่ระบบ SEO เพื่อการขายสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์ เป็นวิธีการส่งเสริมการขายที่ทรงอิทธิพลมาก แต่หลายคนก็ยังไม่แน่ใจในศักยภาพของระบบ SEO ว่าจะมีความคุ้มค่ามากน้อยเพียงใด เนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายรายหกเดือนหรือรายปีเป็นอย่างน้อยในการจ้างทำ และยังไม่สามารถการันตีได้ 100 เปอร์เซ็นต์ว่าจะเพิ่มยอดขายได้มากน้อยแค่ไหน เราจึงได้รวบรวมสิ่งที่คุณจะพลาดไปถ้าไม่พัฒนาเว็บไซต์เข้าสู่ระบบ SEO มาฝากกัน ดังนี้

ขาดโอกาสเพิ่ม traffic หรือยอดจำนวนผู้เข้ามาอ่านบทความ

รวมถึงหาข้อมูลด้านสินค้าอื่น ๆ ในเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งเท่ากับว่าคุณจะเสียโอกาสในการขายไปด้วย ซึ่งมันก็จะส่งผลถึงการโปรโมตเว็บไซต์ตัวเอง เพราะการจัดอันดับของ search engine จะดูที่คุณภาพของบทความเป็นองค์ประกอบใหญ่อย่างหนึ่งด้วย หากไม่มีบทความ SEO เท่ากับขาดดาต้าที่จะไปวิเคราะห์เพื่อ ranking อันดับนั่นเอง

คุณจะพลาด หากไม่ทำเว็บไซต์ SEO

อันดับสืบค้นต่ำลง

เมื่อขาดบทความ SEO จะทำให้อันดับในกูเกิ้ลต่ำลง จึงขาดโอกาสที่ดีในการพบปะกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่ต้องการซื้อสินค้าและบริการในขณะนั้น เพราะคุณไม่อยู่ในทำเลที่จะสืบค้นเจอได้ง่ายและไปลดทอนศักยภาพในการแข่งขันกับคู่แข่งเจ้าอื่นในไลน์การผลิตและจำหน่ายสินค้าแบบเดียวกัน โดยเฉพาะการแข่งขันด้านงานบริการอย่าง การโรงแรม การท่องเที่ยว ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูง

ขาดโอกาสได้ลูกค้ากลุ่มใหญ่จากทั่วโลกแบบ worldwide

เพราะหนทางการพบเจอกันของผู้ทำธุรกิจกับลูกค้านั้นเปลี่ยนไป เชื่อหรือไม่ว่าในปัจจุบันเราสามารถหาลูกค้ากลุ่มใหญ่ รวมถึงกลุ่มลูกค้า Oversea หรือลูกค้าต่างประเทศหรือกลุ่มลูกค้าจากทั่วโลกได้จากอินเตอร์เนท เพียงแต่คุณจะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้เขารู้จักตัวตนของคุณอย่างแท้จริง เมื่อคุณพลาด ไม่ยอมทำ SEO แน่นอนว่าสิ่งที่คุณจะพลาดก็คือกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ แบบ Worldwide ซึ่งถือเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่จริง ๆ

ไม่สามารถรักษาลูกค้าเดิมไว้ได้

อย่าลืมว่าในขณะที่เราไม่ได้ทำ SEO ก็ยังมีบริษัทอื่นๆที่ทำธุรกิจแบบเดียวกับเราเร่งมือสร้างเว็บไซต์และดัน SEO เพื่อให้เกิดโอกาสในการพบปะลูกค้า ซึ่งนั่นอาจจะหมายถึงลูกค้าที่เป็นลูกค้าของเราก็ได้ หากลูกค้าเราได้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารจากบริษัทอื่นมากกว่า ทั้งการมีโปรโมชั่นมาล่อใจ มันจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยหากคุณปล่อยปละละเลยความสำคัญของการทำ SEO แล้วฝ่ายตรงข้ามก็สามารถคว้าเอาลูกค้าของคุณไปเป็นลูกค้าของเขาได้ในที่สุด

และทั้งหมดนี้ก็คือสิ่งที่คุณจะพลาดหากไม่นำระบบ SEO มาปรับใช้กับเว็บไซต์ของคุณ เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยเสริมความมั่นใจและแสดงให้เห็นว่ารายจ่ายในการจ้างจะถูกชดเชยด้วยโอกาสทางธุรกิจและกำไรของบริษัทในระยะยาวอย่างที่คุณพอใจ

สิ่งที่พลาด-หากไม่ทำเว็บไซต์-SEO

SEO จำเป็นต้องจ้างทำไหม ในปี 2018

การเซฟค่าใช้จ่ายสำหรับนักธุรกิจ

สำหรับผู้ที่ทำธุรกิจออนไลน์มือใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่การทำเว็บไซต์ด้วยความเข้าใจว่าจะเป็นหน้าร้านในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย อาจไม่ทราบว่าการทำ SEO อย่างมืออาชีพในปัจจุบันมีความสำคัญเพียงไร โดยเฉพาะคนที่เคยเป็นเพียงผู้ใช้งานเว็บไซต์ทั่วไปมาก่อน อาจคุ้นตากับ SEO แบบเน้นการขายลิ้งค์ หรือ Backlink การแชร์โฆษณาซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในอดีตที่จะทำให้ search engine ตีความว่าเป็นการแสดงถึง ความฮิต ของลูกค้าที่ใช้บริการเว็บนั้น ๆ แต่ปัจจุบัน แหล่งสืบค้นข้อมูลทั่วไป ทั้งกูเกิ้ล , บิง , ยาฮู ล้วนใส่ใจและใช้ระบบจัดอันดับ website จากคุณภาพของงานเขียนหรือ content ที่เป็นเชิงสร้างสรรค์ให้ประโยชน์แก่ผู้อ่านมากยึ่งขึ้น โดยการทำ SEO จะถูกแทรกไปเป็นส่วนหนึ่งในไม่กี่ตำแหน่งของบทความที่มีคุณภาพ หรือ high quality

ซึ่งเทรนด์ที่เปลี่ยนไปนี้ทำให้นักธุรกิจต้อง มองใหม่ อีกครั้งว่า สมควรจะจ้างคนทำ SEO ไหม? หากแบบเดิม ๆ ก็มีความจำเป็นต้องจ้างบริษัทที่รับทำด้าน SEO โดยตรง เพราะมุ่งเน้นปริมาณของชิ้นงานเพื่อไปโพสต์ด่วน ๆ แสดงการอัพเดตและแชร์ลิ้งค์มาก ๆ แต่หากเป็นปี 2018 บริษัทใหญ่ ๆ ที่ทำงานในเทรนด์เดิม ๆ จะมีบุคลากรที่มีความสามารถในการเขียนคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจคุณหรือไม่ เป็นเรื่องต้อง ทดสอบ กันก่อนจะจ้างงานยาว ๆ หรืออาจเลือกจ้างเป็นจ็อบ ๆ ตามแหล่ง agency ที่รวบรวมนักเขียน และนักทำ content ฝีมือดีที่มีความรู้และความเข้าใจในการทำ SEO ประกอบเข้ากับความรู้พื้นฐานที่นักเขียนแต่ละคนมีความถนัดในศาสตร์ของตัวเอง ก็จะทำให้ได้บทความที่มีความ ลึกซึ้ง หรือ DEEP ในเชิงคุณภาพมากกว่า

การเซฟค่าใช้จ่ายสำหรับนักธุรกิจ

สำหรับการทำธุรกิจแล้ว การลดต้นทุน ลดรายจ่าย เป็นเรื่องที่เพิ่มรายได้ให้อย่างอัตโนมัติ การจ้างทำ SEO กับบริษัท เอเจนซี่ หรือนักเขียนอิสระ (freelance) ที่ ใช่ จะช่วยให้ธุรกิจได้ save ค่าใช้จ่ายในระยะยาว โดยควรลองจ้างงานเป็นชิ้น ๆ ดูก่อน หากมีแนวโน้มว่า ไปกันได้ และการทำงานสอดคล้อง เข้าขา กันดี ก็จ้างกันยาวเป็นระยะ6 เดือนหรือ 1 ปี หรือจะจ้างแบบอิสระ-ประจำ ก็มีความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ

นอกจากการจ้างคนทำ SEO ที่เหมาะสม จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวแล้ว ยังช่วยผลักดันให้เว็บไซต์เป็นที่นิยมและเป็นที่จดจำของลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นเสมือน ภาพจำ ที่กลุ่มเป้าหมายจะประทับใจ เลือกใช้บริการ หรือ หันหลังใส่ พร้อมกับบอกต่อ แชร์ หรือ rating ซึ่งส่งผลต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ต่อความเชื่อมั่นของคนอื่น ๆ ที่กำลังหาข้อมูลหรือต้องการซื้อสินค้า-บริการในธุรกิจนั้น ๆ ด้วย

SEO จำเป็นต้องจ้างทำไหม ในปี 2018