ASO ต่างกับ SEO อย่างไร

ASO ต่างกับ SEO อย่างไร
Jimbe Allen
25/12/2020

ในยุคที่การตลาดดิจิทัลกำลังทรงอิทธิพลในด้านเศรษฐกิจ นักการตลาดดิจิทัล ไม่เพียงมุ่งมั่นในการทำ SEO (Search Engine Optimization) เพื่อให้มีผลงานติดอันดับและเพิ่มยอดขายเท่านั้น ปัจจุบันยังต้องศึกษาการทำ ASO (App Store Optimization) ที่มีกระบวนและเทคนิคการทำงานที่ละเอียดซับซ้อนและต้องอาศัยระยะเวลาเช่นเดียวกับการทำ SEO

หลายคนคงกำลังสงสัยว่า ทั้ง ASO และ SEO แตกต่างกันอย่างไร ตามเราไปรู้จักกับศัพท์ดิจิทัล 2 แบบนี้กันดีกว่า

ASO ย่อมาจากคำว่า App Store Optimization เป็นกระบวนการทำงานของระบบเพื่อให้แอปพลิเคชันบนมือถือที่ได้พัฒนาขึ้นนั้น สามารถติดอันดับต้น ๆ ของ App Store อย่าง iTunes ของ Apple และ Play Store ของ Google ด้วยการค้นหาคีย์เวิร์ดตามที่เราต้องการ เพราะการทำให้แอปพลิเคชันติดอันดับสูง ๆ ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการดาวน์โหลดไปใช้งานเพิ่มมากด้วย

กระบวนการทำ ASO มีความคล้ายกับการทำ SEO แต่มีขั้นตอนที่ง่ายกว่า ไม่มีความซับซ้อนเหมือน SEO ที่ใช้กระบวนการคิดและกลยุทธ์ต่าง ๆ มาประกอบเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์

การทำASO หรือ App Store Optimization แบ่งได้ 2 ส่วน ดังนี้

1.การเลือก Keywords หรือ (Keyword Optimization ) เฉพาะคำที่คนนิยมใช้ค้นหาแอปพลิเคชันนั้น ๆ และใส่คีย์เวิร์ดไว้ใน App Title จากนั้นก็ผลักดันให้คีย์เวิร์ดที่เราเลือกไต่ขึ้นไปอยู่อันดับสูง ๆ ของการ Search และอาศัยปัจจัยร่วมจากจำนวนการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันและการรีวิวแอปพลิเคชันในทิศทางบวก ซึ่งทำให้ ASO ต่างจาก SEO ที่ใช้การสร้าง Back Links จากเว็บภายนอก หมายถึง ลิงก์จากเว็บอื่น ๆ ซึ่งชี้กลับมายังเว็บไซต์ของเรา เพื่อบอกกับ Google ถึงการเป็นที่ยอมรับของเว็บ ผลที่ตามมาคือคะแนนที่พุ่งสูงขึ้นและทำให้เว็บไซต์ติดอันดับในหน้าแรกของการค้นหาใน Google search

2.การใช้ AO (Asset Optimization) คือการปรับหรือออกแบบไอคอนของแอปพลิเคชันให้สวยงามสะดุดตาเป็นที่ดึงดูดให้ผู้ชมหรือลูกค้าตัดสินใจดาวโหลดได้ง่ายขึ้น หากยังไม่พอควรเพิ่ม Preview Screenshot ที่เข้าใจง่ายในรูปแบบของวิดีโอคลิปสั้น ๆ โชว์ศักยภาพและจุดเด่นของแอปพลิเคชัน ตามด้วยเนื้อหาที่อธิบายฟังก์ชันการใช้งานอย่างง่าย และอย่าลืมอัปเดตข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ เพราะสิ่งเหล่านี้ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจดาวน์โหลดมากขึ้นอย่างเกินความคาดหมาย

ส่วน SEO มีพื้นฐาน 5 ขั้นตอนที่นำไปสู่ความสำเร็จคือ 1.สำรวจว่าลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายของเราค้นหาอะไรบน Google 2. ใส่คีย์เวิร์ดคำค้นหาที่ต้องการที่หน้าเว็บเพจ 3.ตรวจสอบว่า ระบบค้นหา (Google) และคนสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้ง่าย 4.ทำให้เว็บไซต์ง่ายต่อการค้นหาและสามารถเพิ่มลิงก์ที่คลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของเราได้ง่ายโดยการสร้าง Backlink จากเว็บไซต์อื่น เช่น Youtube และเว็บไซต์อื่น ๆ 5.การประเมินผลการขั้นตอนการทำ SEO ของเว็บไซต์ว่าสำเร็จถึงขั้นตอนไหน เพื่อการติดตามและแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าจุดต่างอย่างชัดเจนของ ASO และ SEO คือ SEO นั้นใช้เครื่องมือและซอฟท์แวร์มากมายในการพัฒนาระบบและวางกลไกการทำงานให้เกิดการค้นหาที่ง่ายขึ้น ส่วน ASO นั้นต้องอาศัยเวลาและเทคนิคการลองผิดลองถูกด้วยตนเอง เนื่องจากระบบ ASO ส่วนใหญ่ มุ่งเน้นการสร้างคีย์เวิร์ดจากลักษณะเด่นเฉพาะของแอปพลิเคชันนั้น ๆ เช่น ฟังก์ชัน การใช้งานของแอปพลิเคชัน คุณสมบัติเด่นของแอปพลิเคชัน เป็นต้น